เช็คท่าที‘พรรคปลาไหล’ วิกฤติ‘ชาติไทย’ ในวันไร้‘บรรหาร’-‘ภูมิใจไทย’ มาแรง?

เขียนวันที่

วันศุกร์ ที่ 12 ตุลาคม 2561 เวลา 15:21 น.

เขียนโดย

isranews

หมวดหมู่

รายงาน-สกู๊ป | Isranews | เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา

Tags

“…อย่างไรก็ดีบทบาทของพรรคชาติไทยพัฒนา และภูมิใจไทย ยังคงไม่มีการหารือกันว่า ตกลงจะ ‘จูบปาก’ กับขั้วการเมืองฝั่งไหน ระหว่างฝ่าย ‘ไม่เอาประยุทธ์’ ที่นำโดย ‘พรรค 3 เพื่อ’ เพื่อไทย-เพื่อธรรม-เพื่อชาติ พ่วงด้วยพรรคอนาคตใหม่ และฝ่าย ‘เอาประยุทธ์’ นำโดยพรรคพลังประชารัฐ-พรรครวมพลังประชาชาติไทย-พรรคพลังชล เพราะอย่างที่บอกว่า ตัวแปรสำคัญจริง ๆ อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ หากท้ายที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ ‘เลือกข้าง’ คงจะได้เห็นพรรคชาติไทยพัฒนา-ภูมิใจไทย ‘ขยับ’ เสียที ?...”

PIC chatthai 12 10 61 1

ผ่านมาประมาณเกือบ 1 เดือนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ‘คลายล็อคการเมือง’ เริ่มเห็นเค้าลางบทบาทของพรรคการเมืองหลายแห่งไปแล้วว่า ก๊วนไหนจับมือพรรคใด หนุนใครนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

แม้ว่ากูรูการเมืองหลายคน ‘ฟันธง’ ว่า ตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งถัดไปคือ พรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นพรรคขนาดใหญ่ที่ยังวางสถานะ ‘คั่นกลาง’ ระหว่าง กลุ่ม ‘ไม่เอาประยุทธ์’ กับกลุ่ม ‘เอาประยุทธ์’ ก็ตาม

แต่ไม่อาจมองข้ามพรรคขนาดกลาง 2 แห่ง ที่เป็นตัวแปรรองลงมาในการจัดตั้งรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัย ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคภูมิใจไทย

พรรคชาติไทยพัฒนา ในวันไร้ ‘บรรหาร ศิลปอาชา’ ดูท่าจะ ‘วิกฤติ’ กว่าเพื่อน เพราะถูก ‘พลังดูด’ อดีต ส.ส.เกรดเอบวก ไปจำนวนไม่น้อย ล่าสุดคือนายชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีต ส.ส.อุทัยธานี ที่ย้ายไปซบพรรคภูมิใจไทย โดยถูกวางบทบาทเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคเลยทีเดียว

ขณะเดียวกันแม้แต่ใน จ.สุพรรณบุรี ที่ถูกเรียกกันว่า ‘บรรหารบุรี’ ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนา ‘ผูกขาด’ ที่นั่ง ส.ส. ครบทุกเขตมาโดยตลอด จากเดิมในการเลือกตั้งปี 2554 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แบ่งเขตไว้ 5 ที่ แต่ในปี 2561 ถูกหั่นลงเหลือ 4 ที่เท่านั้น

สถานการณ์ยิ่งยากลำบากเข้าไปอีกเมื่อ นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ อดีตรองเลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา บุตรชายนายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ ผู้มากบารมี ผู้ชักชวนให้ ‘มังกรสุพรรณ’ เข้าพรรคชาติไทยพัฒนา จนพัฒนาบทบาทจาก ‘พ่อค้า’ มาเป็น ‘นักการเมือง’ เต็มตัว ไต่เต้าจนถึงขั้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่งตัวย้ายไปซบกับพรรคเพื่อไทยเสียแล้ว ?

เบื้องหลังกรณีนี้ ว่ากันว่า ผู้ใหญ่ในพรรคชาติไทยพัฒนา ต้องการให้นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ ลง ส.ส. แบบปาร์ตี้ลิสต์ เพราะ กกต. ได้ลดจำนวนเก้าอี้ ส.ส. เขตลงจาก 5 ที่นั่งเหลือ 4 ที่นั่ง ทำให้การจัดสรร ส.ส. เขตต้องให้สายตรง ‘ศิลปอาชา’ ก่อน โดยในทางการเมืองถือว่า ‘ถูกลดเกรด’ สร้างความไม่พอใจแก่นายณัฐวุฒิ และตระกูล ‘ประเสริฐสุวรรณ’ อย่างแรง จนย้ายไปอยู่กับพรรคเพื่อไทยในที่สุด

แม้มีกระแสข่าวว่า ‘ลูกท็อป’ นายวราวุธ ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา จะต่อสายพร้อมเคลียร์ให้ นายณัฐวุฒิ ก็บ่ายเบี่ยง ว่ากันว่าขนาด ‘คุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา’ ภรรยานายบรรหารโทรศัพท์ต่อสายตรง ก็ยังไม่รับสายเลยด้วยซ้ำ ?

ดังนั้นสถานการณ์ตอนนี้ เอาแค่เฉพาะใน จ.สุพรรณบุรี จากเดิมที่วางแพลนกินรวบ 4 ที่นั่ง ชักไม่แน่นอนแล้วว่าจะได้ครบหรือไม่ เพราะตระกูล ‘ประเสริฐสุวรรณ’ ก็ไม่ใช่อนุบาลการเมือง แต่เป็นตระกูลดังเทียบชั้น ‘ศิลปอาชา’ เช่นกัน จึงอาจทำให้เก้าอี้ ส.ส. ของชาติไทยพัฒนา จากเดิมวางไว้ 4 ที่อาจเหลือแค่ 3 ที่นั่งก็เป็นไปได้

ข้ามฟากมาที่ภาคอีสานตอนใต้ ที่มั่นของพรรคภูมิใจไทยกันบ้าง มีการเปิดตัวหัวหน้า-กรรมการบริหาร-เลขาธิการพรรคชุดใหม่กันไปหมดแล้ว นำโดย ‘เสี่ยหนู’ นายอนุทิน ชาญวีรกูล บิ๊กบอสใหญ่ ‘ซิโน ไทย’ เป็นหัวหน้าเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีนายชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีต ส.ส.อุทัยธานี เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรค มีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ สายตรง ‘เนวิน ชิดชอบ’ นั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรค

พรรคภูมิใจไทย ค่อนข้างมีภาษีดีกว่าเพื่อน เพราะปัจจุบันมีอดีต ส.ส. หลายรายถูก ‘ลายพราง’ กดดันให้ย้ายออกจากพรรคเพื่อไทย หรือลดบทบาทในพรรคลง ทำให้เกิดอาการอึดอัดใจ ส่งผลให้ย้ายมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทยเป็นจำนวนไม่น้อย เพราะพรรคภูมิใจไทยถูกมองว่า เป็นพรรค ‘แทงกั๊ก’ สลับขั้วการเมืองไปเล่นข้างไหนก็ได้ ที่สำคัญไม่ได้หนุน ‘ทหาร’ โดยตรง ทำให้ชาวบ้านยังคงเชื่อมั่นอยู่ ?

ยกตัวอย่างกรณี นายชาดา ว่ากันว่า เจอแรงกดดันอย่างหนักจาก ‘ลายพราง’ ที่ต้องการให้ลดบทบาทในพื้นที่ จ.อุทัยธานี ประกอบกับพรรคชาติไทยพัฒนาเมื่อไร้ ‘บรรหาร’ เกรดทางการเมืองก็ถูกลดลงเป็นเงาตามตัว จะย้ายไปอยู่กับพรรคเพื่อไทยก็ไม่สามารถทำได้ จะไปกับกลุ่มสามมิตร-พลังประชารัฐ ก็เกรงว่าจะทำให้ ‘ฝ่ายประชาธิปไตย’ ไม่พอใจ ทำให้ตัดสินใจย้ายไปซบพรรคภูมิใจไทย ที่ถือเป็นพรรค ‘แทงกั๊ก’ จะพลิกขั้ว-ย้ายค่ายไปอยู่กับใครก็ได้ ดูจะปลอดภัยมากที่สุด ที่สำคัญ ‘เงินทุน’ ของพรรคภูมิใจไทยก็ดูมีภาษีมากกว่าพรรคอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวว่า ตระกูล ‘สะสมทรัพย์’ ตระกูลการเมืองชื่อดังใน จ.นครปฐม เตรียมเก็บกระเป๋าย้ายไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยด้วย อย่างไรก็ดีข่าวดังกล่าวยังคงถูกอุบเงียบจากบ้าน ‘สะสมทรัพย์’ ว่า จะไปซบพรรคภูมิใจไทย หรือเลือกไปพรรคพลังประชารัฐ ?

หากตามฟอร์มแบบนี้ เท่ากับว่า 3 จังหวัดสำคัญจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ‘พรรคสีน้ำเงิน’ คือ จ.นครปฐม ที่กลุ่ม ‘สะสมทรัพย์’ เป็นตัวหลัก จ.อุทัยธานี ของกลุ่ม ‘ชาดา’ และแน่นอน จ.บุรีรัมย์ ของสายตรง ‘ชิดชอบ’ การันตีเก้าอี้ ส.ส. ประมาณ 14 เก้าอี้

ขณะเดียวกันมีการ ‘แพ็คทีม’ คณะทำงานฝ่ายหัวหน้าพรรคใหม่ นำโดย พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ อดีตรองประธาน กสทช. เป็นโฆษกพรรค นายพะโยม ชินวงศ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาภาคเอกชน ที่เพิ่งถูกคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ‘เด้ง’ ออกจากเก้าอี้เมื่อเดือน พ.ค. 2561 ที่ผ่านมา นายจุลภาส เครือโสภณ อดีตกรรมการบริษัท Thai Air Asia-X และอดีตทีมงานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นพ.สำเริง แหยงกระโทก อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครราชสีมา และท้ายสุดนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค

อย่างไรก็ดีบทบาทของพรรคชาติไทยพัฒนา และภูมิใจไทย ยังคงไม่มีการหารือกันว่า ตกลงจะ ‘จูบปาก’ กับขั้วการเมืองฝั่งไหน ระหว่างฝ่าย ‘ไม่เอาประยุทธ์’ ที่นำโดย ‘พรรค 3 เพื่อ’ เพื่อไทย-เพื่อธรรม-เพื่อชาติ พ่วงด้วยพรรคอนาคตใหม่ และฝ่าย ‘เอาประยุทธ์’ นำโดยพรรคพลังประชารัฐ-พรรครวมพลังประชาชาติไทย-พรรคพลังชล

เพราะอย่างที่บอกว่า ตัวแปรสำคัญจริง ๆ อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ หากท้ายที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ ‘เลือกข้าง’ คงจะได้เห็นพรรคชาติไทยพัฒนา-ภูมิใจไทย ‘ขยับ’ เสียที ?