ละเอียด! คำเบิกความ‘ธนาธร’คดีหุ้นสื่อ เซ็นอย่างเดียว-จำรายละเอียดไม่ได้?

เขียนวันที่

วันศุกร์ ที่ 18 ตุลาคม 2562 เวลา 15:10 น.

เขียนโดย

isranews

หมวดหมู่

รายงาน-สกู๊ป | Isranews | Investigative | ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวสืบสวน | เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา

Tags

คดีหุ้นสื่อ | บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด | ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ | ศาลรัฐธรรมนูญ

“…ทำธุรกิจมาเกือบ 20 ปี ทำการโอนหุ้นเป็นร้อย ๆ บริษัท ทั้งการลงทุน ซื้อ ขาย หรือซื้อจากคนญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป คนไทยด้วยกันเอง สมาชิกในครอบครัว เป็นร้อย ๆ ครั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสักครั้งใดที่ตนไปกระทรวงพาณิชย์ด้วยตัวเอง เซ็นเสร็จคือจบ ส่วนฝ่ายธุรการไปกระทรวงพาณิชย์เมื่อไหร่ เป็นเรื่องของธุรการ กรณีนี้ก็เช่นกัน เซ็นจบคือจบ ไม่รู้ธุรการดำเนินการอย่างไรต่อ เพิ่งรู้ว่า บอจ.5 เป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยดูมาก่อนเลย…”

PIC thanatorn 18 10 62 8
(นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ภาพจาก พรรคอนาคตใหม่)

หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2562 ศาลรัฐธรรมนูญ นัดไต่สวนพยาน 10 ปาก คดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ร้อง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้อง ให้วินิจฉัยกรณีการถือครองหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ประกอบธุรกิจสื่อ เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามการลงสมัคร ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ โดยพยานบุคคลจำนวน 10 ปาก ประกอบด้วย 1.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 2.นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ 3.นางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ 4.คุณปิติ จรุงสถิตย์พงศ์ 5.นายทวี จรุงสถิตย์พงศ์ 6.น.ส.ลาวัลย์ จันทร์เกษม พนักงาน บริษัท วี-ลัคฯ 7.น.ส.กานต์ฐิตา อ่วมขำ พนักงานบริษัท วี-ลัคฯ 8.นายณัฐนนท์ อภินันท์ ทนายความ 9.นายพิพัฒพงศ์ รุจิตานนท์ ทนายความ 10.นายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถ (อ่านประกอบ : ศาล รธน.ไต่สวนคดีหุ้นสื่อ‘ธนาธร’จำไม่ได้-ให้การขัด ทนายไม่รู้รายละเอียดในสัญญา)

@ศาล รธน.เผยครั้งแรกไต่สวนพยานมากที่สุด

ต่อมาเวลาประมาณ 09.15 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั่งบัลลังก์ไต่สวน โดยระบุเบื้องต้นว่า นี่การไต่สวนข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมาย โดยกรณีที่ กกต. กล่าวนายธนาธรนั้น มีประเด็นที่ควรชี้แจงเรื่องการโอนหุ้นของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด โอนเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 จริงหรือไม่ อยากให้ยืนยันข้อเท็จจริงให้ยุติลงก่อน โดยศาลจำเป็นต้องฟังจากพยาน 2 ประเภทคือ พยานที่รู้เห็น อยู่ในเหตุการณ์ และพยานที่เกี่ยวข้อง คือพยานที่เกี่ยวพันหลังการโอนหุ้นดังกล่าวแล้ว โดยนี่ว่าเป็นครั้งแรกของศาลรัฐธรรมนูญที่มีการไต่สวนพยานมากที่สุด

ทั้งนี้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นพยานไต่สวนในปากแรก โดยนายวรวิทย์ กังศศิเทียม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซักว่า พยานถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จำนวน 675,000 หุ้น ก่อนการโอน นายธนาธร (หลังจากนี้จะใช้คำว่าพยาน) โอนหุ้นดังกล่าวในวันที่ 8 ม.ค. 2562 ให้กับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ พยานยืนยันตามตราสารโอนหุ้นหรือไม่ นายธนาธร ระบุว่า ยืนยัน

@ไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งแต่แรก แค่เข้ามาถือหุ้นระหว่างทาง

นายวรวิทย์ ซักว่า บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด หากจดทะเบียนเป็นธุรกิจสื่อ ต้องจดแจ้งแก่เจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ฯ ด้วยหรือไม่ เพื่อบันทึกว่าประกอบกิจการจริง นายธนาธร กล่าวว่า ขอท้าวความการถือหุ้นของบริษัทแห่งนี้ ตั้งแต่เกิดขึ้น (การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท) จนถึงการขายหุ้น ตนไม่เคยมีส่วนร่วมในการบริหาร หรือในการเข้าทำธุรกรรมใด ๆ โดยเจ้าหน้าที่บริษัท ผู้บริหารบริษัท กระทำการใด ๆ ไปจดแจ้ง พ.ร.บ.การพิมพ์ฯ หรืออะไร ไม่ทราบรายละเอียด ไม่เคยเข้าไปยุ่งในการบริหารงานใด ๆ

นายวรวิทย์ ซักอีกว่า ผู้บริหารของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด คือใคร นายธนาธร กล่าวว่า การจัดตั้งบริษัทตนไม่ได้เป็นผู้ลงทุนตั้งแต่แรก เพิ่งมาเป็นผู้ถือหุ้นระหว่างทาง ถ้าจำไม่ผิดบริษัทแห่งนี้ตั้งได้ 10 ปี ตนมาถือหุ้นได้ 4-5 ปี เนื่องจากภรรยา (นางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ) ได้รับการชักชวนจากคุณแม่ (นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ) โดยคุณแม่อยากให้ลูกหลานหรือสะใภ้ มีงานมีอะไรทำ เดิมภรรยาทำงานธนาคารหลายแห่ง ต่อมาเมื่อแต่งงานมีลูก ได้ลาออกมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก เมื่อลูกโต คุณแม่เห็นว่าภรรยาไม่มีงานทำ จึงให้มาช่วยงานบริษัท โดยในช่วงแรกที่ภรรยาไปบริหารยังไม่มีหุ้น แต่จำปีชัด ๆ ไม่ได้ ส่วนคำซักว่าใครเข้าไปมีส่วนร่วมอะไร ตนและภรรยาไม่ได้เกี่ยวข้องในช่วงแรก มาเกี่ยวข้องในช่วงกลาง ๆ

นายวรวิทย์ ซักว่า ถ้าบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จะเลิกผลิตสื่อ ไม่ทำแล้ว ต้องจดแจ้งเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ฯ หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ทราบในหลักการ ไม่เคยยุ่งเกี่ยว ไม่เคยทำธุรกิจสื่อมาก่อน

@จำไม่ได้วางแพลนตารางโอนหุ้นหรือปราศรัยหาเสียงก่อน

นายวรวิทย์ ซักอีกว่า เรื่องการโอนหุ้นเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 พยานดูเอกสารตราสารโอนหุ้นแล้ว ความเกี่ยวข้องเรื่องการโอนหุ้นเหตุผลอะไรถึงนัดวันที่ 8 ม.ค. 2562 เป็นวันโอน อยากให้ชี้แจงเหตุผลต่อศาล เพราะช่วงเช้าพยานอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ นี่เป็นข้อเท็จจริง ขณะเดียวกันเริ่มเตรียมการโอนหุ้นเมื่อใด และระหว่างการเตรียมการโอนหุ้น กับการปราศรัยหาเสียงที่ จ.บุรีรัมย์ พยานวางแผนอะไรก่อน

นายธนาธร กล่าวว่า เป็นวันปกปติ ไม่ได้เป็นพิเศษ แต่ขอเล่าก่อนสักนิดหนึ่ง ครอบครัวของตนมีหลายบริษัท ก่อนเข้าทำงานการเมืองตนถือหุ้นในบริษัท 30-40 แห่งเห็นจะได้ ตนมีความพยายามจะจัดสรรโครงสร้างบริษัทใหม่ เดิมบริษัทในเครือไทยซัมมิท แบ่งออกเป็น 3 ชั้นคือ บริษัทโฮลดิ้ง (ไว้ลงทุน) บริษัทลูก และบริษัทหลาน โดยบริษัทโฮลดิ้ง ถือหุ้นในบริษัทลูก และบริษัทลูกถือหุ้นในบริษัทหลาน แต่ไม่ได้ถือหุ้นเต็ม 100% ยกตัวอย่าง บริษัทโฮลดิ้งถือหุ้นในบริษัทลูก 60% อีก 40% เป็นสมาชิกในครอบครัว เช่นเดียวกันกับบริษัทลูกถือหุ้นในบริษัทหลาน 60% อีก 40% เป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นต้น

“กระบวนการตัดสินใจมาทำงานการเมืองช่วงเดือน พ.ค. 2561 ขึ้นมาปีแรกของปี 2562 ก็ทำมาจนเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 เป็นหนึ่งในกระบวนการ ไม่ได้เป็นวันที่พิเศษ ที่นัดมา พยายามจะทำ ถ้าไม่มีใครพูดเรื่องนี้ผมก็ลืมไปแล้ว เพราะมันไม่มีความสลักสำคัญ เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวอีกว่า ตนมีแนวคิดจะเริ่มทำงานการเมืองประมาณช่วงไตรมาส 4/2560 จึงเริ่มหารือกับสมาชิกในครอบครัวเพื่อจัดสรรโครงสร้างบริษัทใหม่ หลังจากนั้นช่วงครึ่งหลังเดือน พ.ค. 2561 ตนมาทำงานการเมือง ได้ลาออกจากตำแหน่งทุกตำแหน่งในภาคธุรกิจ สมาคม ห้างร้าน องค์การต่าง ๆ ที่เคยเป็นกรรมการ ผู้บริหาร หรือที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ต่าง ๆ และได้หารือกันในรายละเอียดเรื่องจัดสรรโครงสร้างบริษัทใหม่ และทำจริงในช่วงหลัง พ.ค. 2561 เป็นต้นมา ซึ่งในวันที่ 8 ม.ค. 2562 เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทั้งหมดเท่านั้นเอง

PIC ธนาธรใหการเตม 1
(ภาพจากพรรคอนาคตใหม่)

@คำนวณแล้วกลับด้วยรถ ใช้เวลาพอ ๆ กับนั่งเครื่องบิน

ส่วนตารางในการโอนหุ้นเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 กับตารางปราศรัยที่ จ.บุรีรัมย์ แผนไหนออกก่อนกันนั้น ศาลซักย้ำประมาณ 3 ครั้ง นายธนาธร กล่าวว่า จำไม่ได้จริง ๆ ว่านัดหาเสียงไว้ก่อน หรือนัดการประชุมโอนหุ้นก่อน อย่างไรก็ดีการทำงาน 2 อย่างในวันเดียวกันถือเป็นเรื่องปกติ ก่อนหน้านี้ทำงานหนักกว่านี้มาก ถี่กว่านี้ ถือเป็นเรื่องปกติมาก

นายวรวิทย์ ซักอีกว่า ถ้าเช่นนั้นพยานต้องทำธุรกรรมหรือทำสิ่งต่าง ๆ ในวันเดียวกัน 2 อย่าง 2 สถานที่ มีการวางแผนหรือไม่ว่าต้องดำเนินการอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า แผนแรกตั้งใจจะกลับด้วยเครื่องบินที่ จ.บุรีรัมย์ แต่เครื่องเต็ม เลยคิดว่าจะกลับด้วยเครื่องบินที่ จ.อุบลราชธานี แต่บวกลบคูณหารเวลาแล้ว เห็นว่าจาก จ.บุรีรัมย์เดินทางไป จ.อุบลฯ ใช้เวลาเท่าไหร่ ขึ้นเครื่องแล้วใช้เวลาเท่าไหร่ จากสนามบินกลับบ้านต้องใสช้เวลาเท่าไหร่ ไม่ต่างจากการขับรถจาก จ.บุรีรัมย์ กลับบ้านโดยตรง

“ผมเป็นคนที่หลับง่ายในรถ ถ้าขึ้นรถมีโอกาสยาวหน่อยก็หลับทันที แต่ถ้าขึ้นเครื่อง ต้องเข้าสนามบินผ่านการตรวจความปลอดภัย ต้องเช็คอิน ต้องเจอผู้คน ต้องถูกถ่ายรูป จะไม่ได้พักผ่อน ไม่มีความเป็นส่วนตัว จึงเลือกที่จะยอมนั่งรถ พอขึ้นปุ๊บ ก็ออกได้เลย” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวอีกว่า ตนใช้รถตู้ของตัวเอง มีนายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ (คนขับรถ) เป็นคนขับ ออกจาก จ.บุรีรัมย์ ประมาณ 11 นาฬิกา โดยมีตนกับคนขับรถแค่ 2 คน ไม่มีคนอื่นมานั่งด้วย

นายวรวิทย์ ซักว่า ช่วงนั้นพยานได้แจ้งหรือติดต่อทนายความว่าจะเข้าถึง กทม. ในเวลาประมาณเท่าไหร่ นายธนาธร กล่าว่า จำไม่ได้ ศาลซักต่ออีกว่า ไม่ห่วงเหรอว่ามีคนรอที่ทำสัญญา เพราะพยานต้องกลับมาทำสัญญาให้ได้ นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ห่วง เพราะถ้าเกิดข้อผิดพลาด นายชัยสิทธิ์จะปลุกตนขึ้นมา

@หลับตลอดทางขากลับบุรีรัมย์-กทม. ถึงบ้าน 16.00 น.

ศาลซักอีกว่า ขั้นตอนการทำสัญญาได้ติดต่อมารดา หรือทนายความก่อนหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า จำไม่ได้ เพราะหลับตลอดทาง ศาลซักอีกว่า ไม่ได้ซักทางบ้านก่อนเหรอว่าทางบ้านพร้อมหรือยัง นายธนาธร กล่าวว่า กะว่าถึงเมื่อไหร่ คงตามเวลานัดหมาย รู้สึกว่าเวลานัดหมายน่าจะประมาณ 17 นาฬิกา แต่ตนมาถึงบ้านที่ กทม. ประมาณ 16 นาฬิกา จึงทักทายทนาย ไปอาบน้ำ พักผ่อนรอให้ทุกคนเข้ามาทำสัญญา จำเวลาชัด ๆ ไม่ได้น่าจะทำสัญญาช่วงประมาณ 17 นาฬิกา

นายวรวิทย์ ซักอีกว่า บุคคลที่รู้เห็นในการทำสัญญา ได้แก่ พยาน นางรวิพรรณ นางสมพร น.ส.ลาวัลย์ พนักงานบริษัท วี-ลัคฯ (ในฐานะพยานรับรอง) น.ส.กานต์ฐิตา พนักงานบริษัท วี-ลัคฯ (ในฐานะพยานรับรอง) และนายณัฐนนท์ ทนายความ เมื่อทุกคนพร้อมก็มีการเซ็นกันพยานในฐานะผู้โอน มีนางสมพร มารดา เป็นผู้รับโอน พยานลงชื่อรับรองถูกต้อง เอกสารนี้เป็นเอกสารที่นายณัฐนนท์เตรียมาพร้อมใช่หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ถูกต้อง ส่วนการเตรียมว่านำใครมาเป็นพยานรับรอง ไม่ทราบรายละเอียด ตามความเข้าใจของตน น่าจะเป็นคุณแม่ แต่ไม่แน่ใจ

@ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน! จำไม่ได้ขายหุ้นเท่าไหร่-มอบ ‘ภรรยา’ จัดการทั้งหมด

นายวรวิทย์ ซักอีกว่า ขั้นตอนสุดท้ายในการโอนหุ้นต้องมีค่าตอบแทนจากการขายหุ้น เพราะตั้ง 675,000 หุ้น ค่าตอบแทนที่ว่านี้เป็นเงินเท่าไหร่ นายธนาธร กล่าวว่า “จำไม่ได้” ก่อนชะงักไปนิดหนึ่งและกล่าวเพิ่มเติมว่า “น่าจะประมาณ 6 ล้านกว่าบาท”

ส่วนเช็คใบดังกล่าวเซ็นในวันโอนหุ้นเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 เลยหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ต้องเรียนว่าเรื่องจัดการเงินทอง ตนมอบหมายภรรยาเป็นคนจัดการทรัพย์สินที่บ้านทั้งหมด ดังนั้นไม่แน่ใจจริง ๆ ว่า คุณแม่กับภรรยา จะไปส่งมอบเช็ค หรืออะไรเมื่อไหร่ ตนไม่เคยจับต้อง

ศาลซักเพิ่มเติมว่า ในเช็คมูลค่า 6.7 ล้านบาทเศษ รู้หรือไม่ว่าเขียนขึ้นในวันที่ 8 ม.ค. 2562 และสั่งจ่ายให้พยาน นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่รู้ด้วยซ้ำ อย่างที่บอกไม่ได้จัดการเงินของครอบครัว เวลาไปไหนอบรมสัมมนา ได้ค่าตอบแทนมา กลับบ้านก็ให้ภรรยา ไม่เคยถือแม้แต่สมุดบัญชีของตนด้วยซ้ำไป ส่วนภรรยาจะนำเช็คไปขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ทราบ

“อย่างที่เรียน ครอบครัวเราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เช็คบางฉบับถือไว้ 3-6 เดือน บางทีเก็บเช็คในกระเป๋า ส่งไปซักแห้ง กลับมาเช็คก็อยู่ที่เดิมตรงนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดอะไร แต่เป็นสิ่งที่ภรรยาผมสะดวกขึ้นเช็คอะไรก็แล้วแต่เขา ให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้” นายธนาธร กล่าว

หลังจากนั้นนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซักเพิ่มเติมว่า ตอนที่พยานได้รับหุ้นจำนวน 6.75 แสนหุ้นเมื่อปี 2551 ได้ซื้อมาในราคาเท่าใด หรือว่าได้มาโดยเสน่หาฟรี ๆ และได้มาจากใคร นายธนาธร กล่าวว่า ซื้อมาราคาพาร์ มูลค่าเท่ากับจำนวนที่ขายไป ส่วนซื้อจากใครจำไม่ได้ น่าจะเป็นคุณแม่

ศาลซักอีกว่า ตอนได้หุ้นจำนวนนี้มา มีการรายงานจดแจ้งวันที่ในทะเบียนผู้ถือหุ้นบริษัท และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า จำปีไม่ได้ แต่เข้าใจว่าปี 2551 เป็นปีจดจัดตั้งบริษัทหรือเปล่า แต่ตอนตนไปถือหุ้นน่าจะระหว่าง (เงียบไปครู่หนึ่ง) ดูเอกสารดีกว่า จำไม่ได้ว่าปีไหน

PIC ธนาธรใหการอก 2
(ภาพจากพรรคอนาคตใหม่)

@ยันตอนโอน 8 ม.ค. 62 ยังไม่มีใครรู้เลยเลือกตั้งเมื่อไหร่

นายจรัญ ถามว่า ก่อนการโอนหุ้นเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 ได้นัดไว้ล่วงหน้านานแค่ไหน นายธนาธร กล่าวว่า จำไม่ได้ ศาลซักอีกว่า ก่อนหรือหลังที่พยานตัดสินใจเข้ามาทำงานทางการเมือง นายธนาธร กล่าวว่า ตนตัดสินใจว่าจะเข้ามาทำงานทางการเมืองช่วงไตรมาสที่ 4/2560 จนช่วงต้นปี 2561 ต่อมาได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัทในช่วงเดือน พ.ค. 2561

“เรียนอย่างนี้ ตอนผมทำเรื่องทั้งหมด ไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 ยังไม่มีใครรู้ว่าเลือกตั้งวัน พ.ร.ฎ.เลือกตั้งฯ ยังไม่ได้ออก แต่ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งฯ ออกปลายเดือน ดังนั้นในตอนทำทุกอย่างเรารู้อยู่แล้วว่า ไม่ช้าก็เร็วจะมีการเลือกตั้ง เราเห็นว่าเป็นเวลาเหมาะสมกับทุกคน เราจึงนัดวันนั้น (8 ม.ค. 2562) ผมคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีเลือกตั้งเมื่อไหร่ สิ่งที่ทำคือ ครอบครัวผมมีหลายบริษัท มีบริษัทโฮลดิ้ง บริษัทลูก และบริษัทหลาน ดังนั้นเพื่อให้การทำงานการเมืองไม่มีปัญหา เลยให้ผมและครอบครัวสมาชิกคนอื่น ถือโอกาสทีเดียว จัดสรรโครงสร้างหุ้นใหม่ ให้ถือหุ้นแค่โฮลดิ้งบริษัทเดียว ที่เหลือเคลียร์ให้หมด ต่อไปไม่ต้องสำแดง และให้โฮลดิ้งถือหุ้นในบริษัทลูก 100% บริษัทลูกถือหุ้นบริษัทหลาน 100% ทุกอย่างได้จบ นี่คือข้อเท็จจริง” นายธนาธร กล่าว

นายจรัญ กล่าวว่า ที่ศาลซักเพื่อต้องการทราบว่าพยานไม่ได้โอนหุ้นออกไปเฉพาะในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด แต่ยังมีการโอนอีกหลายบริษัท ทั้งช่วงก่อนและหลังวันที่ 8 ม.ค. 2562 นายธนาธร กล่าวว่า จำไม่ได้ ตนมีหุ้นประมาณ 30 บริษัท จำไม่ได้จริง ๆ ไม่กล้าตอบ แต่ตนมีหลักฐานทั้งหมด ถ้าต้องการสามารถหามาได้ ถ้าจะเอาเป๊ะ ๆ

(ภาพจากพรรคอนาคตใหม่)

@ลั่นทำธุรกิจมา 20 ปีโอนหุ้นเป็นร้อยครั้ง ไม่เคยดูเอกสารฝ่ายทะเบียนผู้ถือหุ้น

ส่วนการโอนหุ้นของพยานออกไป จะต้องเอาไปจดลงในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น พยานได้รู้เห็นหรือไม่ว่า การโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในวันที่ 8 ม.ค. 2562 นำไปจดลงในสมุดผู้ถือหุ้น หรือสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ทำธุรกิจมาเกือบ 20 ปี ทำการโอนหุ้นเป็นร้อย ๆ บริษัท ทั้งการลงทุน ซื้อ ขาย หรือซื้อจากคนญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป คนไทยด้วยกันเอง สมาชิกในครอบครัว เป็นร้อย ๆ ครั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสักครั้งใดที่ตนไปกระทรวงพาณิชย์ด้วยตัวเอง เซ็นเสร็จคือจบ ส่วนฝ่ายธุรการไปกระทรวงพาณิชย์เมื่อไหร่ เป็นเรื่องของธุรการ กรณีนี้ก็เช่นกัน เซ็นจบคือจบ ไม่รู้ธุรการดำเนินการอย่างไรต่อ เพิ่งรู้ว่า บอจ.5 เป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยดูมาก่อนเลย

“ผมไม่เคยดูสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ผมถือหุ้นซักตัว เป็นเรื่องของฝ่ายเจ้าหน้าที่ธุรการ ผมไม่เคยแม้แต่ถือกลับบ้าน เป็นเรื่องของฝ่ายที่เก็บทรัพย์สิน ฝ่ายบัญชีของบริษัท ฝ่ายทะเบียนขอบริษัทก็ว่าไป ผมไม่ได้รับทราบเรื่องนั้น” นายธนาธร กล่าว

@ไม่รู้ว่า ‘มารดา’ เป็น กก.บริหาร บ.วี-ลัคฯ

ส่วนพยาน 2 รายที่เป็นพนักงานบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัดนั้น เป็นใครมาจากไหน นายธนาธร กล่าวว่า ในเมื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ปิดไปแล้วเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2561 ดังนั้นพนักงานสองคนดังกล่าวจึงไม่ใช่พนักงานของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัดแล้ว แต่เป็นพนักงานจากสำนักงานใหญ่บริษัทในเครือไทยซัมมิท โดยทำงานที่เครือไทยซัมมิทมาแล้วประมาณ 10 ปี

นายจรัญ ซักว่า นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นกรรมการ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ถูกหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ทราบ ศาลซักอีกว่า แม้แต่ว่าใครเป็นกรรมการก็ไม่ทราบหรือ นายธนาธร กล่าวว่า บริษัทนี้มันเล็กมากสำหรับตน ไม่เคยแม้แต่เหยียบเข้าไปในบริษัท ไม่รู้เลยว่าใครเป็นกรรมการบริหาร บริหารกันอย่างไร จัดการกันกี่คน

หลังจากนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย สำนักงาน กกต. ในฐานะผู้ร้อง ซักว่า ในการประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2562 มีมติให้เลิกบริษัท ซึ่งพยานบรรยายในคำชี้แจงต่อ กกต. โดยผู้ถือหุ้นก็ทราบสถานการณ์บริษัทว่าไม่ค่อยดี มีลูกหนี้ค้างชำระจำนวน 10 ล้านบาท แต่ทำไมในวันที่ 21 มี.ค. 2562 ยังมีการโอนหุ้นกันอยู่ เป็นหุ้นที่นายทวี จรุงสถิตย์พงศ์ (หลานนางสมพร) โอนกลับมาให้นางสมพร นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ทราบ หลังวันที่ 8 ม.ค. 2562 ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือเกี่ยวข้องใด ๆ กับบริษัทแห่งนี้อีก ภารกิจตนกับบริษัทแห่งนี้จบตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2562

เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย สำนักงาน กกต. ซักอีกว่า พยานลงนามในเอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาที่อ้างส่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีเอกสารเกี่ยวกับงบการเงินของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด นายธนาธร กล่าวว่า จำไม่ได้ เจ้าหน้าที่ กกต. ซักว่า แต่พยานลงนามในเอกสารดังกล่าว นายธนาธร กล่าวว่า มันเยอะมาก อย่างไรก็ดีศาลเห็นว่า งบการเงินเป็นหลักฐานที่เป็นทางการ แสดงรายรับรายจ่าย ถ้าไม่มีรายได้จะแสดงอย่างไร เป็นหลักฐานสำคัญว่าบริษัทปิดตัวจริง ตอบใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ นายธนาธร กล่าวว่า จำไม่ได้จริง ๆ ว่าส่งหรือไม่ส่ง และไม่เห็นว่าการส่งงบการเงินดังกล่าวหรือไม่ส่ง จะเป็นสาระสำคัญตรงไหน

@จำไม่ได้ก่อนปราศรัยที่ จ.บุรีรัมย์ ไปไหนมาก่อน

เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย สำนักงาน กกต. ถามว่า ก่อนที่พยานจะมาปราศรัยที่ จ.บุรีรัมย์ ไปปราศรัยที่ใดมาก่อน นายธนาธร กล่าวว่า จำไม่ได้ แต่มีหลักฐาน ถ้าให้เวลาจะหามาให้

“จำไม่ได้จริง ๆ อยากให้เข้าใจนิดหนึ่งว่า เวลาหาเสียงผมไปหลายจังหวัด เปิดปฏิทินการหาเสียงให้ดูก็ได้ หาข้อเท็จจริงมาให้ได้ว่าวันไหนไปกี่เวที เมื่อไหร่บ้าง แต่ถ้าซักกันตอนนี้ จำไม่ได้”
นายธนาธร กล่าวอีกว่า ย้อนกลับไปกรณี จ.บุรีรัมย์ มา กทม. เกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะตนตอบคำถามผู้สื่อข่าวผิดแค่ครั้งเดียว ช่วงปลายเดือน มี.ค.-ต้นเดือน เม.ย. 2562 โดยตนตอบผิดเพราะจำรายละเอียดไม่ได้ ดังนั้นเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่โต

“เรามีทั้งใบสั่ง อีซี่พาส เวลาสัมพันธ์กันหมดทุกช่วง ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี” นายธนาธร กล่าว

@พ้อโดนคดีครั้งแรก ให้ทนายเดินเรื่องอ้างพยานหลักฐานส่งศาลทั้งหมด

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย สำนักงาน กกต. พยายามซักถึงประเด็นว่า ขากลับจาก จ.บุรีรัมย์ นายธนาธร นั่งรถกลับมากับนายชัยสิทธิ์แค่ 2 ราย แต่ทำไมไม่อ้างนายชัยสิทธิ์เป็นพยานในครั้งแรก โดยนายวรวิทย์ กังศศิเทียม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ยกตัวอย่างว่า สมมติตนไปยิงคนตาย ตนอยู่กับประธาน (นายนุรักษ์ มาประณีต) ก็จะอ้างประธานเป็นพยาน เพราะพยานปากนี้อยู่กับตน ลำพังถ้าพูดคนเดียว ไม่มีน้ำหนัก แต่ถ้ามีพยานประกอบด้วย น้ำหนักดี คำซัก กกต. จึงไม่ได้เป็นคำซักเกินกว่าตอบได้

นายธนาธร กล่าวว่า ด้วยความสัตย์จริง คนที่จัดการว่าใครควรเป็นพยานคือทนาย ไม่เข้าใจว่า เขาเรียกเอกสารอันไหนทำ หรือไม่ทำ เรียกใคร ใช้อะไร ไม่ใช้อะไร เรียนตามตรงตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 41 ปีในชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่นั่งต่อหน้าบัลลังก์ต่อหน้าตุลาการ ไม่เคยมีคดีความมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก

นายธนาธร กล่าวตอนท้ายด้วยว่า ขอสงวนสิทธิ์ไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) หมดอำนาจ ตนจะดำเนินคดีกับ กกต. ตนตั้งใจทำงานการเมืองอย่างจริงจัง โดยที่ไม่มีผลประโยชน์อย่างที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโดนมาก่อน เพราะไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัว ถ้าวันนี้ศาลตัดสินเป็นคุณให้ตน จะรีบดำเนินการโอนทรัพย์สินบลายด์ทรัสต์ทันที

อ่านประกอบ :

@เรื่องที่เกี่ยวข้องกับบัญชีทรัพย์สิน

บ.ในลาว 20 ล.‘ธนาธร’ชื่อเดียว‘วัน โอ ซี ฯ’ใน จ.ปทุมธานี ปิดตัวแล้ว-ยังไม่ชำระบัญชี

เปิดตัว 2 บ.ในลาว‘ธนาธร-เมีย’ ทำปศุสัตว์-ปรุงแต่งน้ำยาง ทุนรวม 5 แสนดอลฯ

หุ้นส่วนธุรกิจ ‘ธนาธร-ไทยซัมมิท’ คือ ญี่ปุน-สหรัฐ ไม่มีชาวจีน

‘ธนาธร’ปี 61 เสียภาษี 2.9 ล. -บัญชีทรัพย์สิน ไม่มีรายได้จากโอนหุ้น 14 บริษัทปี 62

INFO: ‘ธนาธร’ กับการโอนหุ้น 14 บริษัท

ถ้าไปขอดูจะเห็นเอง! 'ธนาธร' ยันแจ้งรายได้โอนหุ้น 'แม่-น้อง-ไทยซัมมิท' ป.ป.ช.หมดแล้ว

โอนหุ้น วี-ลัค มีเดีย -14 บริษัท 650 ล. ไฉน! ‘ธนาธร’ไม่แจ้ง มีรายได้ ต่อ ป.ป.ช.?

ไม่ใช่แค่ วี-ลัค มีเดีย! 8 ม.ค.62 ‘ธนาธร’ต้องได้รับเช็คค่าโอนหุ้นอีก 10 ใบ 387 ล.?

ย้อนข้อมูล‘ธนาธร’โอนหุ้น 14 บริษัทให้‘น้องชาย-ครอบครัว’ หลังแถลงทำ Blind Trust

'ธนาธร'โชว์ จม.ขอโทษบริษัทที่ยังไม่ได้ทำ blind trust เหตุศาล รธน.สั่งหยุดทำหน้าที่