ผ่าเวทีร้อน ฟังความเห็น "นักวิชาการ" ถกปัญหาปลด "หัสวุฒิ" เขย่าศาลปค.?
"..ไม่ว่าข้าราชการผู้ใดจะถูกกระทำหรือถูกแจ้งข้อหาอะไรใดๆ ถ้าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งผิดปกติก็ต้องทำหนังสือทักท้วง เพราะเป็นผลกระทบทั้งด้านชื่อเสียง เกียรติยศ และการดำรงตนของข้าราชการผู้นั้นในสังคมต่อไปในอนาคต.."
กรณีเครือข่ายยุติธรรมภาคประชาชนและข้าราชการ(กยท.) ได้จัดการสัมมนาวิชาการกฎหมายมหาชน กรณีศึกษาปลดประธานศาลปกครองสูงสุด ประเด็นร้อนระบบกฎหมายมหาชนของไทย ที่ห้องสัมมนา 5209 อาคารสัมมนา 1 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ถ.แจ้งวัฒนะ เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2558 ที่ผ่านม่า (ซึ่งเป็นการย้ายสถานที่จัดงาน จากเดิมที่หอประชุมเล็ก(หอประชุมบูรพา) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องจาก ผู้บริหาร มธ. อ้างเหตุผลว่า ประเด็นจัดสัมมนาดังกล่าวเป็นเรื่องการเมือง ต้องไปรับหนังสือจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อน)
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้มีโอกาสเข้าร่วมรับฟังการสัมมนาครั้งนี้ด้วย พบว่า การย้ายสถานที่จัดงานอย่างกระทันหัน ทำให้บรรยากาศภายในงานมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมค่อนข้างบางตา ประมาณ 30-40 คน
ขณะที่ความเห็นทางกฎหมายของผู้ดำเนินการอภิปรายบนเวที แต่ละคน สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
เริ่มต้นที่ รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า "อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการศาลปกครองในการที่จะปลดประธานศาลปกครองหรือตุลาการศาลปกครองสูงสุด จะกระทบต่อความเป็นอิสระของตุลาการเป็นประเด็นใหญ่ ส่วนปัญหาว่าประธานศาลปกครองเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบในเรื่องดังกล่าว เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้อง ไม่ได้หมายความว่าจะเกี่ยวข้องเฉพาะประธานศาลปกครองท่านนี้ (นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล)"
“มันจะกระทบไปถึงสิทธิและหน้าที่ของตุลาการอื่นๆ ซึ่งอาจถูกพิจารณากล่าวหาว่า ได้กระทำความผิด และเมื่อสอบสวนเอาผิดแล้ว แม้กรรมการสอบสวนจะลงมติเสียงข้างมากเห็นว่าไม่ผิด แต่ถ้าคณะกรรมการศาลปกครองเห็นว่าผิด ก็เอาผิดได้ เป็นสิ่งซึ่งเราควรพิจารณาว่า ชอบด้วยหลักเกณฑ์ในทางกฎหมาย หรือชอบด้วยหลักเกณฑ์ในการปกครองที่จะต้องคำนึงถึงการคุ้มครองความเป็นอิสระของตุลาการหรือไม่”
รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ยังระบุด้วยว่า เมื่อ ก.ศป. เชื่อว่ามีอำนาจที่จะพักราชการตุลาการทั้งหลายได้ หากมีการกล่าวหาว่า ตุลาการทำผิดวินัย และพิจารณาที่จะปลดออกจากตำแหน่ง ก็พักราชการได้ทันที ซึ่งจะมีผลทำให้ตุลาการทั้งหลายที่ว่าคดีสำคัญ ขาดความคุ้มครองในความเป็นอิสระ และขาดความมั่นคงทันที
"เพราะโอกาสที่จะถูกกลั่นแกล้งหรือโอกาสที่จะตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาโดยไม่สมควรนั้น เกิดขึ้นได้กับทุกคน ประเด็นสำคัญ คือ ควรพิจารณาว่า ระบบกฎหมายในกระบวนการพิจารณาของศาลในปัจจุบัน มีระบบที่ให้ความคุ้มครองแก่ตุลาการอย่างเพียงพอแล้วหรือไม่ หากไม่เพียงพอก็ต้องแก้ไขปรับปรุง”
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ได้กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) มีมติให้นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ออกจากราชการ ปมจดหมายน้อยฝากตำรวจ ว่า “ผมก็ยังไม่เห็นสำนวนความเห็นของคณะกรรมการฝ่ายเสียงข้างมาก แต่สำนวนความเห็นของคณะกรรมการฝ่ายเสียงข้างน้อย มีการรายงานข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว”
ขณะที่ พล.ต.หญิง พูลศรี เปาวรัตน์ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ ระบุว่า "ไม่ว่าข้าราชการผู้ใดจะถูกกระทำหรือถูกแจ้งข้อหาอะไรใดๆ ถ้าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งผิดปกติก็ต้องทำหนังสือทักท้วง เพราะเป็นผลกระทบทั้งด้านชื่อเสียง เกียรติยศ และการดำรงตนของข้าราชการผู้นั้นในสังคมต่อไปในอนาคต"
“ถ้าบุคคลใดหรือข้าราชการผู้ใด ได้รับคำสั่งหรือคำให้ถอดถอนหรือพักราชการใด ก็ตามแต่ จะต้องมีการสอบสวนให้เห็นผลภายใน 30 วันตามกฎหมาย แต่ปรากฏว่ามีการยืดเยื้อเรื่องราว จนกระทั่ง 180 กว่าวัน ถึงระบุว่า กระทำผิด ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องผิดปกติ มันแปลก มีจริงหรือเปล่าว่า เสียงข้างน้อยชนะเสียงข้างมาก คิดว่าเรื่องนี้คงจะมีการติดตามผลต่อไปว่า มันเป็นธรรมกับข้าราชการที่ทำหน้าที่อย่างดีแล้วหรือไม่”
ขณะที่ ในระหว่างการจัดงานสัมมนานายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครอง ได้เดินทางมาร่วมงานสัมมนาด้วย
โดยนายหัสวุฒิ ได้ตอบคำถามสำนักข่าวอิศราสั้นๆ ถึงแนวทางการต่อสู้ของตนเองว่า “สู้ต่อแน่นอน ถ้าพอ หรือ เลิกสู้ก็ต้องกลับบ้าน” แต่ไม่ได้อธิบายเพิ่มต่อว่ารูปแบบและแนวทางการต่อสู้จะเป็นอย่างไร
(อ่านประกอบ : ถ้าเลิกก็กลับบ้าน! “หัสวุฒิ”ลั่นสู้ต่อแน่หลัง ก.ศป.ลงมติให้ออกราชการปม จม.น้อย)
ส่วนผลลัพธ์จากการจัดงานสัมมนาครั้งนี้ จะส่งผลอะไรต่อ ศาลปกครอง โดยเฉพาะการพิจารณาตัดสินคดีของ ก.ศป. หรือไม่ ทั้งในส่วนของคดีจดหมายน้อย ที่ผ่านการพิจารณาไปแล้ว รวมถึงคดีอื่นๆ ที่กำลังจ่อคิวรอต่ออีกเป็นจำนวนมาก 3 - 4 คดี คงต้องจับตาดูกันต่อไป
โดยเฉพาะคดียกยอดฉัตร ซึ่งเกี่ยวข้องกับความไม่โปร่งใสในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเป็นประธานพิธีอัญเชิญยอดฉัตรทองคำลูกแก้วมงคลนิมิต ประดิษฐานบนพระธาตุเจ้าจอมล้านนา วัดพิพัฒน์มงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ในช่วงเวลาเดียวกับการไปปฏิบัติราชการ ที่ จ.พิษณุโลก ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้ลงมติเสียงข้างมาก 2 ต่อ 1 เสียง เห็นสมควรกล่าวหาว่ามีการกระทำผิดวินัยร้ายแรง
ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อ และน่าจะเป็นคดีที่สอง ที่นายหัสวุฒิ จะถูกตัดสินต่อจากคดีจดหมายน้อย ที่ประกาศออกมาแล้ว
ซึ่งในขณะนี้ก็ยังไม่มีใครบอกอะไรได้ชัดเจนว่า การจัดเวทีสัมมนาแสดงความเห็นในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ กลุ่มผู้สนับสนุนนายหัสวุฒิจริงๆ แล้วมีเท่าไร และจะเดินหน้าร่วมต่อสู้กับนายหัสวุฒิ ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองอีกแล้ว ไปได้อีกนานเท่าไร
ด้วยข้อเท็จจริงที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้ จึงดูเหมือนว่าหนทางการต่อสู้คดีความต่างๆ ของ "นายหัสวุฒิ" ที่ได้รับการยกย่องจากผู้จัดงานสัมมนาเวทีนี้ว่า "วีรบุรุษยุติธรรมตัวจริง"
นับจากนี้ ช่างเป็นเส้นทางที่ยาวไกล "หนาวเหน็บ" และ "ลำบาก" เสียจริงๆ!
(อ่านประกอบ : เปิดทุกคดี! ชะตากรรม“หัสวุฒิ”ในศาล ปค.หลังขอความเป็นธรรมปม จม.น้อย)
อ่านประกอบ :
เปิดหมดทุกตัวอักษร สำนวนคำสั่งก.ศป.ให้ "หัสวุฒิ"ออกราชการ คดี"จม.น้อย"
ยอมรับไม่ได้! 'หัสวุฒิ' จี้ ก.ศป.แจงให้ชัดปม 'ให้ออก' คดีจดหมายน้อยฝาก ตร.
ก.ศป. มติเอกฉันท์ เชือด "หัสวุฒิ" ให้ออก-พ้นปธ.ศาลปค. คดีจม.น้อยฝากตร.
ร้อง คสช.สอบ ก.ศป.ปม จม.น้อย-ยันยึดเสียงข้างมากคืนตำแหน่ง“หัสวุฒิ”
กก.สอบสวนวินัยร้ายแรง ชง ก.ศป.ชี้ชะตา"หัสวุฒิ"คดี จม.น้อยฝาก ตร.23 ก.ย.
23 ก.ย.วันชี้ชะตา"หัสวุฒิ" ก.ศป. นัดลงมติคดีจม.น้อย "พ้นผิด-ให้ออก-ไล่ออก"
"ก.ศป." โต้ "หัสวุฒิ"รอบสอง! ข้ออ้างศาลถูกฝ่ายการเมืองยึด ไม่มีมูลความจริง
“หัสวุฒิ”แถลงซ้ำ! อ้างการเมืองภายใน -คดีความมั่นคง โดนแกล้งปม จม.น้อย
"หัสวุฒิ"รอดคดีคลั่งพลังจิต! ศาลปค.แจงตั้งกก.สอบทุกกรณีทำตามขั้นตอนกม.
"หัสวุฒิ"เจอคดีที่สอง! ก.ศป.ลงมติสั่งตั้งกก.สอบวินัยร้ายแรง กรณียกยอดฉัตร
เปิดทุกคดี! ชะตากรรม“หัสวุฒิ”ในศาล ปค.หลังขอความเป็นธรรมปม จม.น้อย
“หัสวุฒิ”ขอความเป็นธรรมคดี จม.น้อย อ้างถูกเลื่อยขาเก้าอี้-เงินบาทเดียวยังไม่โกง(มีคลิป)