- Home
- Thaireform
- สัมภาษณ์ - ปาฐกถา
- ยูนิเซฟสนับสนุนไทยเต็มสูบขยายเงินอุดหนุนเด็ก 0-3 ปี เดือนละ 600 บาท
ยูนิเซฟสนับสนุนไทยเต็มสูบขยายเงินอุดหนุนเด็ก 0-3 ปี เดือนละ 600 บาท
พูดคุยกับ ‘โธมัส ดาวิน’ ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ (ประเทศไทย) หนุนขยายโครงการเงินอุดหนุนเด็กเล็กเป็น 0-3 ปี คนละ 600 บาท หลัง 5 เดือน ประสบความสำเร็จ มียอดผู้ลงทะเบียนทะลุ 50% ‘ปัตตานี’ มากสุด 3 พันคน
ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อ 31 มีนาคม 2559 เห็นชอบหลักการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด นำร่อง 1 ปี โดยให้เงินอุดหนุนแก่เด็กแรกเกิดสัญชาติไทย ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม โดยเกิดระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2558-30 กันยายน 2559 และอยู่ในครอบครัวยากจน คนละ 400 บาท/เดือน เป็นเวลา 12 เดือน
โดยปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนแล้ว 64,579 คน คิดเป็นร้อยละ 50.45 (ข้อมูล ณ 26 กุมภาพันธ์ 2559) จากเป้าหมาย 128,000 คน โดยจังหวัดที่มีการลงทะเบียนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ปัตตานี 3,016 คน บุรีรัมย์ 2,657 คน และศรีสะเกษ 2,549 คน ส่วนจังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนน้อยที่สุด ได้แก่ ภูเก็ต 65 คน
ทั้งนี้ ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา โครงการประสบความสำเร็จอย่างไร โธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์คณะสื่อมวลชน ในโอกาสลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงาน ณ จ.บุรีรัมย์ ในฐานะองค์กรภาคีร่วมผลักดันโครงการ มีประเด็นต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมาย
@การดำเนินโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของไทยเป็นอย่างไร
โธมัส:สิ่งที่น่าประทับใจตลอดการดำเนินโครงการ 5 เดือนที่ผ่านมา คือ มีความรวดเร็วในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็น การตัดสินใจจะดำเนินโครงการ การออกแบบโครงการ ซึ่งน่าชื่นชมรัฐบาลไทยมาก ที่สำคัญ การมีผู้ลงทะเบียนมากถึงร้อยละ 50 นับเป็นสถิติสูงและรวดเร็วมาก ซึ่งหากนำไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศ จะพบว่า บางประเทศต้องใช้ระยะเวลานานถึง 3 ปี
อีกสิ่งหนึ่ง คือ รัฐบาลไทยมีการทำงานร่วมกันหลายกระทรวง เพื่อผลักดันให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้น ถือเป็นเรื่องน่าประทับใจ ซึ่งหลายประเทศไม่มี จึงบ่งชี้ว่า การให้เงินอุดหนุนเด็กเล็กมีความสำคัญ และประชาชนทุกคนต้องการความช่วยเหลือ
@ยูนิเซฟมีหลักการโครงการสำหรับเด็กทุกคนที่มีอายุ 0-6 ปี แต่ปัจจุบันรัฐบาลไทยนำร่องเฉพาะเด็กในครอบครัวฐานะยากจนที่มีอายุ 0-1 ปี คิดเห็นอย่างไร
โธมัส:ยูนิเซฟยังคงไว้ในหลักการเดิม แต่จำเป็นต้องศึกษาความเหมาะสมในแต่ละประเทศด้วย รัฐบาลทำอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการของรัฐบาลไทยกับเด็กในครอบครัวฐานะยากจนที่มีอายุ 0-1 ปี ถือว่าประสบความสำเร็จ
อีกทั้ง จากผลลัพธ์ดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นว่า อนาคตรัฐบาลก็มีแนวคิดจะขยายโครงการต่อเนื่อง จากเด็กอายุ 0-1 ปี เป็น 0-3 ปี และเชื่อว่าจะเพิ่มช่วงอายุขึ้นเรื่อย ๆ แต่สุดท้าย คงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานมากกว่า
สำหรับการเพิ่มจำนวนเงินอุดหนุนจาก 400 บาท เป็น 600 บาท ตั้งข้อสังเกตว่า การเริ่มต้นจำนวนที่เหมาะสมก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้น เป็นวิธีการที่ดี เพื่อให้โอกาสรัฐบาลในการตรวจสอบจำนวนเงินที่เหมาะสมแท้จริง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีกว่าการตั้งจำนวนเงินที่สูงเลย ถือเป็นวิธีการแบบค่อยเป็นค่อยไป
ยกตัวอย่าง ประเทศบราซิล เลือกวิธีการค่อย ๆ เพิ่มจำนวนเงินอุดหนุนขึ้นเรื่อย ๆ และภายใน 12 ปี สามารถทำให้ประชากร 20 ล้านคน หลุดพ้นจากความยากจน ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากโครงการเงินอุดหนุนเด็ก ที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก เมื่อผลการเรียนดี สุขภาพดี จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตได้
@การให้เงินอุดหนุนเด็กจะทำให้คนหวังพึ่งพารัฐฝ่ายเดียวหรือไม่ มีวิธีการยั่งยืนอย่างไร
โธมัส:ความกังวลโครงการจะทำให้คนพึ่งพารัฐฝ่ายเดียวเกิดขึ้นในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส นอร์เวย์ แต่ข้อเท็จจริง คือ ประเทศพัฒนา ย่อมมีคนกลุ่มหนึ่งตกหล่นเสมอ ไม่มีโอกาสเท่าเทียม และคนกลุ่มนั้นจึงต้องการความช่วยเหลือต่าง ๆ จากรัฐ ฉะนั้นต้องทำให้เกิดระบบคุ้มครองทางสังคมหลายช่องทางเข้ามาช่วยเหลือร่วมกัน
เราหวังว่า เมื่อประชาชนได้รับความช่วยเหลืออย่างจำเป็นแล้ว คนยากจนจะค่อย ๆ หลุดออกจากความยากจน ก้าวเข้าสู่รายได้ปานกลาง โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐมาก มองว่า โครงการเงินอุดหนุนเด็กเป็นวิธีการช่วยเหลือคนเพื่อให้หลุดจากกรอบดังกล่าวมากกว่า
@เริ่มมีการเรียกร้องให้ขยายโครงการ จาก 0-1 ปี เป็น 0-3 ปี และให้เงินอุดหนุน 400 บาท เป็น 600 บาท หลังจากนี้จะมีโอกาสพูดคุยกับรัฐบาลหรือไม่ อย่างไร
โธมัส:ยูนิเซฟจะเข้าพูดคุยกับรัฐบาลไทยแน่นอน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้ร่วมผลักดันหลายรูปแบบ หลายช่องทาง เพื่อให้เกิดการขยายผลโครงการต่อไป ยกตัวอย่าง ศึกษาผลสัมฤทธิ์โครงการ เพื่อให้ข้อมูลเป็นสิ่งที่บ่งบอกทุกคนว่า โครงการควรมีต่อไป
นอกจากนี้ยังได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อพยายามทำให้รัฐบาลไทยและสังคมเห็นว่า การลงทุนในเด็กเล็กเป็นการลงทุนดีที่สุด และให้ผลตอบแทนหลายเท่ามากกว่าการลงทุนในช่วงวัยอื่น ๆ เมื่อเด็กได้รับอาหารเหมาะสม พัฒนาการเหมาะสม จะมีแนวโน้มให้เด็กมีผลการเรียนดี
อีกสิ่งหนึ่งที่ยูนิเซฟดำเนินการ คือ การส่งจดหมายไปยังผู้แทนของรัฐบาล เพื่อชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมาโครงการดำเนินไปได้ด้วยดี สมควรต้องขยายเป็น 0-3 ปี และสื่อมวลชนมีส่วนสำคัญในการผลักดันเรื่องนี้ด้วย เมื่อทุกคนเข้าใจมากขึ้นว่า โครงการมีความสำคัญ จะเกิดการสนับสนุนและขยายโครงการต่อไป
@มองรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมาจากการรัฐประหาร ต่อการดำเนินโครงการเงินอุดหนุนเด็กอย่างไร
โธมัส:รัฐบาลปัจจุบันให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับยูนิเซฟ มุ่งเน้นการพัฒนาการด้านการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาทั้งหมด ถึงแม้ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าในสภาวะแวดล้อมการแข่งขัน ขณะเดียวกันรัฐบาลให้ความสำคัญในการคุ้มครองคนเปราะบาง มีฐานะยากจน จึงดูเหมือนจะให้ความสำคัญทั้งสองด้าน
..............................................................................................
มีสัญญาณว่า เร็ว ๆ นี้จะมีการขยายโครงการต่อไป จากเดิมครอบคลุมเฉพาะเด็ก 0-1 ปี เป็น 0-3 ปี และให้เงินอุดหนุน 400 บาท เป็น 600 บาท ตามที่เรียกร้อง โดยคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 8 มีนาคม 2559 ซึ่งยูนิเซฟก็หวังว่าจะประสบความสำเร็จ .