- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ศตส. ให้ปชช.ไว้ทุกข์ ใส่เสื้อผ้าสีพื้นแทนชุดดำ-ขาว ประดับโบว์ ริบบิ้นแทนได้
ศตส. ให้ปชช.ไว้ทุกข์ ใส่เสื้อผ้าสีพื้นแทนชุดดำ-ขาว ประดับโบว์ ริบบิ้นแทนได้
สรุปผลการประชุม ศตส. โฆษกรัฐบาลระบุประชาชนแสดงความอาลัยไว้ทุกข์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ โดยสวมใส่เสื้อผ้าสีพื้นแทนเสื้อผ้าชุดสีดำและสีขาว หรือประดับโบว์และริบบิ้นสีขาวหรือสีดำได้
วันที่ 16 ต.ค.59 เวลา 10.40 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ซึ่งมีหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมทั้งกลุ่มเศรษฐกิจ ความมั่นคง การต่างประเทศ ฯลฯ เพื่อรายงานสถานการณ์ต่าง ๆ และการดำเนินการของแต่ละส่วนในการอำนวยความสะดวกให้บริการประชาชนในการเดินทางมาถวายความอาลัยพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ รวมถึงการดูแลความสงบเรียบร้อยทั่วไปและการบริหารราชการแผ่นดินในกลุ่มงานต่าง ๆ ที่แต่ละหน่วยงานเกี่ยวข้อง
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการและเลขานุการ ศตส. พร้อมด้วย พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยผลการประชุม ศตส. สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 18 ต.ค.59 ที่จะถึงนี้ยังดำเนินการประชุมคณะรัฐมนตรีตามปกติ รวมถึงการบริหารราชการ การค้า การลงทุนยังคงดำเนินต่อไปไม่มีช่วงสูญญากาศแม้ขณะนี้ประเทศไทยจะอยู่ในช่วงของความโศกเศร้าอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทุกคนต้องไม่ลืมคำสอนของพระองค์ที่ทรงสอนให้ประชาชนคนไทยทุกคนไม่ลืมหน้าที่และจะต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่าง อย่างสมบูรณ์เต็มกำลังความสามารถเพื่อพัฒนาประเทศไทย
ขณะที่การบริหารราชการแผ่นดินยังคงต้องเดินหน้าต่อไปควบคู่กับการเตรียมการพระราชพิธีพระบรมศพอย่างสมพระเกียรติ และสมพระเกียรติคุณและความอาลัยที่ประชาชนได้มีความรักความเทิดทูนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ประธานที่ประชุม ศตส. (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) เน้นย้ำให้ทุกส่วนราชการรับทราบว่า “เราทุกคนเสียใจได้ แต่ต้องไม่ลืมหน้าที่ เราทุกคนเสียใจได้ แต่ต้องมีความหวัง เราทุกคนเสียใจได้ แต่อย่าสูญเสียพลังความรัก ความศรัทธาที่มีต่อประเทศชาติ”
2. กรณีมีกระแสข่าวลือในโซเชียลมีเดียระบุมีการสั่งให้ปลดหรือห้ามประดับพระบรมฉายาลักษณ์หรือพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ นั้น ขอชี้แจงให้ทราบว่า ไม่ได้มีการสั่งการในลักษณะดังกล่าวตามที่มีกระแสข่าวลือแต่อย่างใด ทั้งในส่วนของสถานที่ต่าง ๆ เช่น หน้าหน่วยงานราชการ หน้าสถานที่ต่าง ๆ องค์กรเอกชน รัฐวิสาหกิจ สี่แยกไฟแดง หรือแม้แต่ตามบ้านของประชาชน เพราะช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาอันสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องประดับพระบรมฉายาลักษณ์และพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เพื่อที่ประชาชนทุกคนจะได้ร่วมกันถวายความอาลัยแด่พระองค์ ซึ่งพระบรมฉายาลักษณ์และพระบรมสาทิสลักษณ์ที่เหมาะคือทรงฉลองพระองค์ในชุดเต็มยศ
อย่างไรก็ตามต้องดำเนินการดังกล่าวให้ถูกระเบียบ ให้ประดับผ้าระบาย โดยให้ผ้าสีดำอยู่ด้านบนและสีขาวอยู่ด้านล่าง และการจัดโต๊ะหมู่บูชา จะประกอบด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ เครื่องทองน้อย และผ้าระบาย รวมทั้งงดประดับธงตราสัญลักษณ์
ทั้งนี้ในระหว่างนี้อาจมีบางหน่วยงานนำพระบรมฉายาลักษณ์และพระบรมสาทิสลักษณ์ลงมานั้นก็เพื่อดำเนินการให้ถูกระเบียบ จึงขอชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจถูกต้อง ส่วนหน่วยงานใดเข้าใจผิด นายกรัฐมนตรีได้กำชับสั่งการขอให้รีบดำเนินการให้ถูกต้องและเร่งประดับพระบรมฉายาลักษณ์และพระบรมสาทิสลักษณ์ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อจิตใจของประชาชนทั้งประเทศ
3. การสวมใส่เสื้อผ้าสีดำและสีขาวเพื่อแสดงความอาลัยไว้ทุกข์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ นั้น อาจมีปัจจัยที่อาจทำให้ประชาชนหลายคนไม่สามารถที่จะหาชุดเสื้อผ้าสีดำหรือสีขาวล้วนได้ ซึ่งอาจจะเกิดจากปริมาณที่เสื้อผ้าดังกล่าวที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบันมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการทำให้หาซื้อค่อนข้างยากลำบาก รวมถึงปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย จึงขอให้ทุกคนมองที่เจตนาของแต่ละคนที่จะร่วมถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เพราะฉะนั้นแต่ละคนสามารถที่จะเลือกสวมใส่เสื้อผ้าสีพื้นแทนเสื้อผ้าชุดสีดำและสีขาวได้ โดยไม่ให้มีสีฉูดฉาดหรือมีลวดลายมากนัก รวมทั้งสามารถประดับโบว์และริบบิ้นสีขาวหรือสีดำได้
4. กรณีธงตราสัญลักษณ์ที่มีการสอบถามนั้น ธงตราสัญลักษณ์เป็นธงที่ใช้เฉลิมฉลองเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้วก็จะต้องนำธงเหล่านั้นลง เพื่อเป็นการถวายความอาลัยแด่พระองค์ท่าน
5. ในช่วงบ่ายเวลาประมาณ 15.00 น. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ด้านการขนส่งของกระทรวงคมนาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลรับผิดชอบการจัดการจราจร เจ้าหน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์ จะได้ชี้แจงแนวทางและมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการใช้รถใช้ถนนและการจราจรเพื่อที่จะเดินทางมาถวายความอาลัยแด่พระบรมศพ ว่ามีจุดบริการประชาชนในจุดใดบ้าง โดยจะมีการชี้แจงและนำเสนอข้อมูลดังกล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์NBT
6. การถวายสักการะพระบรมศพ ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ขณะนี้อยู่ในช่วงการถวายสักการะและลงนามถวายความอาลัยต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทั้งนี้ประชาชนสามารถที่จะถวายสักการะและลงนามถวายความอาลัยได้ทุกจังหวัดตามที่ได้มีการจัดพื้นที่พระบรมราชานุสรณ์ไว้ รวมถึงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ สำนักงานเขตทุกเขตทั้ง 50 เขต และศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยบรรเทาการจราจรที่คับคั่งในบริเวณพื้นที่พระบรมหาราชวังลง
7. วันที่ 28 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 13.00 น. มีพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายหลังจากที่การพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 15 วัน (วันที่ 28 ต.ค.59)
และหลังจากวันที่ 28 ตุลาคม 2559 จะเปิดให้ประชาชนได้เข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมพระบรมศพ ทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.00 น.
นอกจากนั้น พระราชทานพระราชานุญาตให้ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งบุคคล คณะบุคคล ภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และประชาชนทั่วไปร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ ภายหลังจากที่การพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 50 วัน
8. การดูแลอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ปัจจุบันกรุงเทพมหานคร (กทม.)ได้ดำเนินการติดตั้งเต็นท์เพิ่มเติมบริเวณท้องสนามหลวง รวมทั้ง กทม. ได้ประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่ออำนวยความสะดวกกับประชาชนในกรณีหากเกิดฝนตก ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนเรื่องดังกล่าว อีกทั้ง กทม. ได้มีการติดตั้งจอมอนิเตอร์เพิ่มเติมรอบบริเวณสนามหลวง จำนวน 6 จอ ขนาด 4X6 เมตร ขณะนี้เริ่มใช้งานได้จำนวน 1 จอแล้วก่อนขยายให้ครบตามที่กำหนดติดตั้งไว้ รวมทั้งได้มีการติดไฟฟ้าส่องสว่างเพิ่มเพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนในช่วงค่ำคืนให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
9. การดูแลทางการแพทย์และสุขภาพให้กับประชาชน กรมการแพทย์ทหารบก ได้มีการส่งแพทย์สนามลงไปในพื้นที่จำนวน 60 คน โดยจะประสานและทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้มีการจัดทีมแพทย์ 4 ระดับไว้ในพื้นที่อยู่แล้ว เพื่อให้การดูแลประชาชนในเรื่องสุขภาพกายและจิตใจได้อย่างครบถ้วนมากขึ้น