- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เอแบค แจงชัด 3 ประเด็นถูกกล่าวหา ผลสอบไม่พบทุจริต
เอแบค แจงชัด 3 ประเด็นถูกกล่าวหา ผลสอบไม่พบทุจริต
ม.เอแบค แจงละเอียด 3 ประเด็นถูกกล่าวหา ไม่พบทุจริต เปิดรายชื่อ กรรมการสภามหาวิทยาลัยใหม่เพื่อสรรหาอธิการบดีคนต่อไป
วันที่ 10 สิงหาคม 2559 ณ ห้องประชุมวีไอพี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ภราดา ดร. ประทีป มาร์ติน โกมลมาศ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ภราดา ดร.ศิริชัย ฟอนซีกา ประธานมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย และดร.ธนู กุลชล ผู้ปฏิบัติหน้าที่อธิการบดี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ร่วมแถลงข่าว
ดร.ธนู กล่าวว่า คณะกรรมการควบคุม มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้หมดหน้าที่ตั้งแต่ 25 กรกฎาคม 2559 แต่เพื่อไม่ให้กิดสุญญากาศ จึงจะรักษาการแทนจนกว่าจะได้อธิการบดีคนใหม่ โดยอธิการบดดีจะเป็นใครและแต่งตั้งเมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับสภามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
“ตอนนี้ได้รายชื่อทั้งหมดแล้วตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 ในมาตรา 28 (1) ระบุว่า ให้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตเสนอชื่อที่จะเป็นนายกสภา มาตรา28 ( 2 ) ตัวอธิการบดีโดยตำแหน่งเป็นอธิการบดีโดยตรง มาตรา 28 (3) ให้ผู้ที่รับใบอนุญาตเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่จะให้เป็นกรรมการสภาไม่ต่ำกว่า 7 ไม่เกิน 14 คน และ มาตรา 28 (4) รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ที่มีคุณสมบัติตามบัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการอุดมศึกษาได้ขึ้นบัญชีไว้ได้ไม่เกิน 3 คน”
สำหรับรายชื่อกรรมการสภามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญชุดใหม่ดังนี้ 1.ภราดา สุรสิทธิ์ สุขชัย นายกสภามหาวิทยาลัย 2. ภราดา ผศ.ดร.วินัย วิริยวิทยาวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3.ภราดา ดร. เดชาชัย ศรีพิจารณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4. ภราดา ดร.ชำนาญ เหล่ารักผล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5. ภราดา พิสูตร วาปีโส กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6.ภราดา ดร.วีรยุทธ บุญพราหมณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 7. ภราดา ดร.อาจิณ เต่งตระกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 8.ภราดา ดร.มณฑล ประทุมราช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 9.ภราดา ดร.ทินรัตน์ คมกฤส กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 10.ภราดา ดร.อำนวย ยุ่นประสงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนคณาจารย์ประจำ) 11.ภราดา ดร.ศิริชัย ฟอนซีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนคณาจารย์ประจำ) 12.นายอภิมุข สุขประสิทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนคณาจารย์ประจำ) 13.นายสมชาย วงศ์ทรัพย์สิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนคณาจารย์ประจำ) 14.นางนวลพรรณ ล่ำซำ อดีตเลขาธิการหอการค้าไทย/ไทยประกันชีวิต 15.รศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล พาณิชย์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ 16.ศ.จตุรนต์ ถิระวัฒน์ นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
รักษาการอธิบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวถึงข้อสรุปจากการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีที่ภราดาบัญชา แสงหิรัญ โดนกล่าวหาว่า ทุจริตใน 3 ประเด็น ประกอบไปด้วย 1.เรื่องการจัดซื้อเครื่องจำลองการบิน(ไฟท์ ซิมูเลเตอร์) 2.เอแบคโพล 3.การเปลี่ยนมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ได้ผลสรุปจากคณะกรรมการตรวจสอบออกมาแล้วว่า ไม่พบการทุจริตในทุกประเด็น ดังนี้
1.โครงการจัดซื้อเครื่องฝึกบินจำลอง ไม่ปรากฏว่า ผู้ใดมีพฤติการทุจริต แต่เกิดจากการบกพร่องของระบบบริหาร โดยอธิการบดีต้องรับผิดชอบ การกระทำครั้งนี้ได้มีการลงสัตยาบันแล้วจึงทำให้ไม่เกิดปัญหา แต่ทางด้านสภามหาวิทยาลัยจะต้องรับผิดชอบตามพ.ร.บ. ที่กำหนดว่า การลงทุนร่วมกับบริษัทอื่นในการดำเนินกิจการที่มีมูลค่าเกินกว่า10%ของกำไรปีที่แล้วจะต้องขออนุมัติจาก กกอ.(คณะกรรมการอุดมศึกษา) ซึ่งทางสภามหาวิทยาลัยไม่ได้ทำตามขั้นตอน จึงต้องโดนปรับเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยการจัดซื้อครั้งนี้ขาดทุนเป็นจำนวนเงิน 11.18 ล้านบาท โดยเกิดจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
ในส่วนของประเด็นที่มีการใช้ชื่อ บราเดอร์ บัญชา แสงหิรัญ อธิการบดีในขณะนั้น จัดตั้งเป็นบริษัทสำหรับการจัดซื้อนั้น จากการตรวจสอบพบว่า เดิมที บราเดอร์ บัญชา แสงหิรัญ จะใช้ชื่อเอแบคเป็นชื่อผู้ถือหุ้น แต่ตอนขอจดทะเบียนกระทรวงพาณิชย์ ทางกระทรวงฯ บอกว่า ไม่สามารถใช้ชื่อมหาวิทยาลัยเอกชนในการจดทะเบียน เนื่องจากเป็นการร่วมทุนกับบริษัทอื่น โดยบราเดอร์ บัญชา แสงหิรัญ ได้ทำพินัยกรรมไว้ว่า ให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทแทนหากตนถึงแก่กรรม
2.เรื่องเอแบคโพล ไม่พบการทุจริตของอธิการบดี แต่มีการบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของการที่อนุมติงบประมาณให้ศูนย์วิจัยเอแบคโพลไปใช้แล้วไม่มีการติดตามและตรวจสอบการใช้งบประมาณที่ชัดเจน ซึ่งการใช้เงินของเอแบคโพลไม่เกี่ยวกับตัวอธิการบดี ที่มีข่าวว่า เงินหายไป 48 ล้านบาทนั้นไม่เป็นความจริง โดยเงินจริงๆที่คาดว่าหายไปมีประมาณ 5 ล้านบาทหรืออาจไม่มีการหายเลย ซึ่งเป็นเรื่องภายในของมหาวิทยาลัย
ส่วนในประเด็นที่มีการให้เงินนักข่าวนั้น เป็นความจริง แต่เพื่อให้มาช่วยงานในการวิจัยและสอนพิเศษในมหาวิทยาลัย แต่ก็มีบางส่วนที่จ่ายเพื่อให้ทำข่าว โดยมีนักข่าวประมาณ1-2คนที่ได้รับเงิน และเป็นเงินที่ได้รายเดือน
3.เรื่องการเปลี่ยนมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ได้อธิบายว่า วิธีการลงบัญชีมีสองแบบ คือ 1.การลงบัญชีแบบมีส่วนเกี่ยวข้องกับสาธารณะ คือ บันทึกราคาตามตลาดปัจจุบัน 2.การลงบัญชีแบบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาธารณะ คือบันทึกราคาตามวันที่ได้มา เช่น ซื้อที่ดินมา 50 ปีที่แล้วไร่ละ 1,000 บาท มาปัจจุบันก็ยังราคาคงเดิม ซึ่งทางมหาวิทยาลัยแต่เดิมใช้ระบบที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาธารณะ แต่พอปี 2551 มหาวิทยาลัยต้องการกู้เงิน จึงตัดสินใจเปลี่ยนระบบการลงบัญชีเป็นแบบมีส่วนเกี่ยวข้องกับสาธารณะ เพื่อให้ราคาของที่ดินที่ถือครองอยู่มีมูลค่าเป็นปัจจุบัน และตัวเลขที่อยู่ในรายการบัญชีมีมากขึ้น จะทำให้สามารถกู้เงินได้มากขึ้น ซึ่งก็ใช้ระบบนี้มาตลอดนับแต่ปี 2551
ดร.ธนู กล่าวต่อว่า มามีปัญหาเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่มีข้อบังคับมาใหม่ว่า การทำบัญชีแบบมีส่วนเกี่ยวข้องกับสาธารณะจะต้องมีผู้ทำบัญชีเป็นคนนอก รวมกับพอมีการร่วมทุนกับบริษัทอื่น วันที่ปิดบัญชีของบริษัทไม่ตรงกับมหาวิทยาลัย เกิดเป็นปัญหาตัวเลขทางบัญชี และได้ตัดสินใจเปลี่ยนกลับไปใช้ระบบบัญชีแบบไม่เกี่ยวข้องกับสาธารณะแบบเดิม ซึ่งผู้ตรวจสอบมองว่า ตรงนี้ไม่มีสาระสำคัญหรือการทุจริตอะไร เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบนี้ไม่มีการนำเสนอผ่านสภาทำให้เกิดเรื่อง
ขณะที่ช่วงท้าย ภราดา ดร. ประทีป มาร์ติน โกมลมาศ กล่าวถึงโครงการจัดซื้อเครื่องฝึกบินจำลอง ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้มีการจัดซื้อ อยากให้คืน เพราะไม่อยากให้มีปัญหา
"เรื่องการจัดซื้อเครื่อง SIMULATOR คิดในใจว่า อยากจะบอกอธิการไม่ซื้อหมดเลยได้ไหม ยกเลิกหมดเลยได้ไหม เพราะเป็นจุดเริ่มของปัญหา เรื่องการใช้เงินใช้ทองคนก็ต้องตั้งข้อสังเกต ส่วนเรื่องคณะกรรมการที่ตั้งมาก็เห็นว่า คณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งโดยกระทรวงศึกษาธิการมาทำหน้าที่ควบคุมดูแลดี ขอให้กรรมการชุดใหม่ละชุดที่อยู่เดิมแล้วจงประสบความสำเร็จและแก้ปัญหาได้ตลอด"
ภราดา ดร.ศิริชัย ฟอนซีกา กล่าวถึงผลสรุปของการสอบสวนทั้ง 3 ประเด็นว่ามีข้อยุติแล้ว กรรมการที่รับผิดชอบได้นำเสนอกรรมการควบคุมพูดง่ายๆว่า ได้มีการบันทึกและได้มีการลงมติแล้วว่าไม่มีการทุจริตใดๆ แต่ในหลักของวิชาชีพก็คือเราสามารถที่จะเสนอแนะเพื่อการปรับปรุง อาจจะมีเอกสารหรือจะมีข้อเสนอแนะที่ตามมาในเชิงบริหารว่ามหาวิทยาลัยน่าจะปรับปรุงจุดใดบ้างซึ่งเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาต้องแยกให้ออกตรงนี้ อันนี้เป็นสิทธิของสกอ. ซึ่งถือว่าเป็นต้นสังกัดที่สามารถจะมาชี้แนะหรือเสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อไป
"ตอนนี้ถือว่ามีข้อยุติแล้ว ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องจะยอมรับไหม อีกฝ่ายจะยอมรับไหม ก็ถึงขนาดรัฐมนตรีที่แต่งตั้งแล้วตอนนี้เชิงกฎหมายรัฐมนตรีเป็นคนอนุมัติเอง หลังจากนี้แล้วถ้าไม่ยอมรับก็ถือว่าสุดวิสัยแล้ว"