วสท.คาดรื้ออาคารดิเอทัส ตามคำสั่งศาลใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี
นายก วสท. แถลงแนวทางแนะนำกรณีสร้างตึกสูงเกิน กม.กำหนด 6 แนวทาง ลดการทุจิตการขอในอนุญาต การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีบรรทัดฐาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย
วันที่ 15 ธันวาคม 2557 วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) จัดงานแถลงข่าว ถอดรหัส กรณีดิเอทัส-ตึกร้าง วสท.เปิดมาตรฐานการรื้อถอนอาคารของไทย ทำอย่างไรให้ปลอดภัย ณ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ กรุงเทพ
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายก วสท.กล่าวถึงคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่2 ธันวาคม 2557 สั่งให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) และผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ดำเนินการรื้อถอนหรือแก้ไขอาคาร “ดิเอทัส” ซอยร่วมฤดีภายใน 60 วันนับจากวันที่ศาลตัดสินนั้น สาเหตุอันเนื่องมาจากการก่อสร้างอาคารมีจำนวนชั้นที่สูงมากกว่ากฎหมายกำหนด ซึ่งขัดต่อ พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ที่มีเขตกว้างและติดถนนสาธารณะไม่ถึง 10 เมตร
นายก วสท.กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ในอนาคตการยื่นขอใบอนุญาตการก่อสร้างควรมีการตรวจสอบให้ละเอียดรอบคอบและมีคุณภาพ อีกทั้งประสิทธิภาพและความถูกต้องโปร่งใส่ เพื่อให้สิ่งปลูกสร้างและการพัฒนาเมืองอำนวยประโยชน์ต่อประชาชน สังคมและเศรษฐกิจ ในขณะที่การบังคับใช้กฎหมายก็ต้องมีบรรทัดฐานเดียวกัน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและลักษณะมือใครยาว สาวได้สาวเอา หลังมีหลายอาคารที่สร้างสูงกว่ากฎหมายกำหนด ก็ต้องรื้อถอนและปรับความสูงให้ถูกต้องตามกฎหมายหลายแห่ง
สำหรับกรณี ดิเอทัส ศ.ดร.สุวัชชวีร์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวหน่วยงานเขตปทุมวัน แจ้งขนาดความกว้างของซอยต่างกันแก่ 2 บริษัท ได้แก่ แจ้งบริษัทแสนสิริ ว่า ซอยกว้างไม่ถึง 10 เมตร ตามผลการสำรวจ ปี 2527 โดยเขตปทุมวัน กทม.ตามคำสั่งคณะปฏิวัติ แต่ในปลายปี 2547 ทำเอกสารทำขึ้นมา ต่อมาช่วงต้นปี 2548 บริษัทลาภประทาน กับบริษัททับทิมทร ได้ยื่นเรื่องเข้ามาสอบถาม ทางเขตปทุมวันตอบเป็นเอกสารรับรองความกว้าง 10 เมตร ทำให้เกิดเอกสาร 10 เมตรตลอดแนวขึ้นมาใหม่ จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น
นายก วสท. กล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย จากสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ถูกต้องก็เช่นเดียวกันที่เป็นภาระของเมืองและสังคมส่วนรวม ในด้านความแออัดคับคั่งของการจราจร ความไม่ปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สิน กรณีเกิดเพลิงไหม้ เช่น โรงแรมอิมพีเรียล มีคนเสียชีวิตเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน เพราะต้องใช้รถดับเพลิงคันใหญ่ แต่เนื่องจากซอยแคบ เลยเข้ามาไม่ได้ ทั้งนี้การทำหน้าที่พลเมืองไทยและพลังชุมชนที่เข้มแข็ง ในกรณีของดิเอทัสเองผู้อยู่อาศัยในซอยรวมฤดี จำนวน 24 ราย ยื่นฟ้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ข้อหาบริหารราชการท้องถิ่น และเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคารปี 2522 ต่อศาลปกครองกลาง โดยออกเอกสารรับรองความกว้างของถนนซอยร่วมฤดีเกินกว่าความเป็นจริง และปล่อยให้ก่อสร้างอาคารสูงกว่ากฎหมายกำหนด เป็นตัวอย่างของการเป็นหูเป็นตา ไม่นิ่งดูดายต่อปัญหา หรือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม้จะต้องใช้เวลายาวนานถึง 6 ปี
“ในด้านของการจริยธรรมในวิชาชีพ สิ่งสำคัญที่ผู้ทำงานในทุกบทบาทต้องยึดมั่น ทั้งหน่วยงานผู้ดูแลกฎระเบียบและตรวจสอบ บริษัทเจ้าของโครงการ สถาปนิกผู้ออกแบบ วิศวกรควบคุมการก่อสร้าง อีกทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์และสิ่งก่อสร้าง ควรรับฟังข้อคิดเห็นรอบด้าน ก่อนการลงทุน เพื่อมิให้เกิดความเสียหายและปัญหาต้องรื้อถอนอาคารกันในภายหลัง” ศ.ดร.สุวัชชวีร์กล่าว
ด้านรศ.เอนก ศิริพานิชกร ประธานสาขาวิศวกรรมโยธา วสท.กล่าวถึงกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ระบุว่า ซอยที่มีความกว้างไม่เกิน 10 เมตรตลอดแนวไปจนจดถนนสาธารณะ จะไม่สามารถก่อสร้างอาคารที่สูงเกิน 8 ชั้น หรือเกินกว่า 23 เมตรได้
"สภาพปัจจุบันของซอยร่วมฤดี เป็นถนน 2 เลนวิ่งสวนทางกัน ช่วงต้นซอยฝั่งสุขุมวิทมีตึกที่มีความสูงเกิน 8 ชั้น 2 อาคารคือ โรงแรมโนโวเทลและคอนโดฯ ดิแอทธินี เรสซิเดนซ์ แม้ก่อสร้างอยู่ในซอยร่วมฤดี แต่เนื่องจากแปลงที่ดินด้านหนึ่งที่ใช้เป็นทางเข้า-ออกอยู่ติดถนนสาธารณะที่มีความกว้างเกิน 10 เมตร ถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย"
ประธานสาขาวิศวกรรมโยธา วสท. กล่าวต่อว่า กรมที่ดินได้ทำการวัดโฉนด และนำสองข้างทางมาปูทั้งหมดได้จำนวน 54 โฉนด พอวัดออกมาแล้ว กรมที่ดินได้ระบุว่า ในซอยร่วมฤดี ซึ่งเป็นทางสาธารณะประโยชน์และเป็นสถานที่ตั้งอาคารดิเอทัส มีจุดที่ไม่ถึง 10 เมตรอย่างน้อย 8 จุดด้วยกัน โดยผลจากการรังวัดได้ตัวเลขออกมาคือ 9.146 เมตร 9.207 เมตร 9.949 เมตร 9.434. เมตร 9.492 เมตร 9.150 เมตร 9.658 เมตร และ 9.283 เมตร อาคารนี้จึงเป็นการขัดกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ในข้อ 2 ออกตามความในพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ห้ามมิให้มีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ และได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีคือ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมอาคาร 40, 41, 42 และ 43 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง โดยกรุงเทพมหานครต้องดำเนินการให้เจ้าของอาคาร ปรับปรุงอาคาร หรือแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมาย
“ขั้นตอนจากนี้ ทาง กทม. และสำนักงานเขตปทุมวัน จะต้องใช้อำนาจหน้าที่ตามมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่จะสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดำเนินการรื้อถอนอาคารนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนได้ ภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่น้อยกว่า 60 วัน หากไม่มีการรื้อถอนตามคำสั่ง สำนักงานเขตฯ มีอำนาจขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังบุคคล ซึ่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งได้ และดำเนินการหรือจัดให้มีการรื้อถอนอาคารดังกล่าวได้เอง โดยที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบและคำนวณอาคาร ผู้ควบคุมและผู้ดำเนินการ จะต้องร่วมกันเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนทั้งหมด”รศ.ดร.เอนก กล่าว
ขณะที่รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ เลขาธิการ วสท.กล่าวถึงเทคโนโลยีการรื้อถอนอาคารที่เป็นที่ยอมรับและใช้กันในนานาประเทศ แบ่งออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ 1.การรื้อถอนอาคารโดยใช้แรงงานคน 2.การรื้อถอนอาคารโดยใช้แรงงานเครื่องจักรกล 3.การรื้อถอนอาคารโดยใช้วิธี Implosion 4.การรื้อถอนอาคารโดยใช้วิธี Non Explosion 5.การรื้อถอนอาคารที่เกิดจากอุบัติภัย 6.การรื้อถอนอาคารที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ 7.การรื้อถอนอาคารที่เกิดจากภัยการก่อการร้าย (Terrorist) ซึ่งในประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการรื้อถอนอาคารน้อย เพราะแต่ก่อนตึกยังเป็นแนวราบส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเติบโตของเมืองเป็นไปอย่างรวดเร็ว จำนวนอาคารสูงมีเพิ่มขึ้นมากทั้งในกรุงเทพจึงต้องดำเนินการให้เป็นมาตรฐานทัดเทียมกับต่างชาติหากเกิดเหตุการณ์ขึ้น
รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ เลขาธิการ วสท.กล่าวอีกว่า สำหรับการรื้อถอนอาคาร ดิเอทัส เป็นเรื่องของ กทม.และเขตต้องออกคำสั่งให้หยุดการใช้อาคาร และแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีความเป็นไปได้ที่กรณีรื้อถอนอาคารโรงแรมดิเอทัสจะยืดเยื้อ เช่น ข้อตกลงว่าระหว่าง กทม.ซึ่งเป็นผู้ออกใบอนุญาตก่อสร้างและเจ้าของโรงแรมดิเอทัสที่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตก่อสร้าง ใครจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
“ปัจจุบันความก้าวหน้าทางวิศวกรรมสามารถรื้อถอนอาคารด้านบนบางส่วน โดยไม่ทำให้อาคารด้านล่างเสียหาย แต่จะต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญและจะต้องปิดใช้อาคาร กรณีเป็นอาคารสูง 20 ชั้น หากรื้อถอนอาคารเหลือ 8 ชั้น ประมาณการคร่าว ๆ จะใช้เวลารื้อถอนเฉลี่ยชั้นละ 2 เดือน รวมแล้วประมาณ 2 ปี เพราะจะต้องเริ่มรื้อจากส่วนที่กระทบโครงสร้างน้อยที่สุดก่อน เช่น ผนัง พื้น ฯลฯ ส่วนเสาอาคารที่เป็นงานโครงสร้างจะเป็นส่วนท้าย ๆ”รศ.สิริวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า อาคารดิเอทัส เป็นโครงการมีมูลค่า 3,000 ล้านบาท ที่สร้างอาคารสูงเกินที่กฎหมายกำหนด มีโรงแรมดิเอทัส บางกอก มีความสูง 24 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 28,000 ตารางเมตร และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ดิ เอทัส เรสซิเดนซ์ สูง 18 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 29,000 ตารางเมตร ซึ่งการดำเนินการก่อสร้างอาคารที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด ขัดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่มีเขตความกว้างติดถนนสาธารณะไม่ถึง 10 เมตร