- Home
- South
- เวทีวิชาการ
- Stein Tønnesson: ทำไมยังต่อสู้ด้วยอาวุธ ทั้งๆ ที่อัตราการชนะต่ำ?
Stein Tønnesson: ทำไมยังต่อสู้ด้วยอาวุธ ทั้งๆ ที่อัตราการชนะต่ำ?
สองผู้รู้เรื่องกระบวนการและการสื่อสารสันติภาพจากนอร์เวย์และศรีลังกา แสดงปาฐกถาพร้อมตั้งคำถามต่อเรื่องราวที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง "การสื่อสาร ความขัดแย้ง และกระบวนการสันติภาพ: ภูมิทัศน์ความรู้จากเอเชียและจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย"
การประชุมวิชาการดังกล่าวมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Communication, Conflicts and Peace Processes: Landscape of Knowledge from Asia and the Deep South of Thailand หรือ CCPP จัดขึ้นที่วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) เมื่อวันที่ 21-22 ส.ค.2557 โดยคณะวิทยาการสื่อสาร ม.อ.ปัตตานี คณะรัฐศาสตร์ วิทยาลัยอิสลามศึกษา และองค์กรภาคีอย่างศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ สถาบันสันติศึกษา และสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้
ทำไมยังใช้ความรุนแรง?
ดร. Stein Tønnesson จากสถาบันวิจัยสันติศึกษาแห่งกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "จากระเบิดถึงป้ายผ้า: การเปลี่ยนยุทธวิธีการต่อสู้ด้วยอาวุธสู่การไม่ใช้อาวุธ" โดยนำเสนอผลงานวิจัยการรวบรวมสถิติการต่อสู้ในทวีปเอเชียในรูปแบบที่ใช้ความรุนแรงและสันติวิธีว่า การต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรงประสบผลสำเร็จมากกว่าการใช้ความรุนแรง และตั้งคำถามว่าเหตุใดกลุ่มต่อสู้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงใช้ความรุนแรงอยู่
Stein Tønnesson เป็นนักวิชาการที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสงครามอินโดจีน เขาได้นำเสนอข้อคิดเห็นจากพื้นที่ความขัดแย้งต่างๆ สู่สาธารณะ และให้ข้อสังเกตถึงปัญหาความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ว่ามี 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ 1.ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา 2.ความขัดแย้งทางการเมืองในกรุงเทพฯ และ 3.ความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
"ตลอดระยะเวลา 10 ปีของความรุนแรงในสามจังหวัด ถือว่ามีการเสียชีวิตน้อยกว่า หากเปรียบเทียบกับความรุนแรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงที่มีสงคราม ระหว่างปี ค.ศ.1960 - 1970 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ผู้คนมากมายถูกฆ่าตาย แม้ขณะนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีกลุ่มต่อสู้โดยใช้ความรุนแรงบ้าง แต่ก็มีสถิติการก่อสงครามเพียงปีละ 25 ครั้ง และมีการเสียชีวิตจากการต่อสู้โดยใช้อาวุธปีละ 1,000 คน ซึ่งหากเปรียบเทียบสถิตินี้กับในอดีต ถือว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสันติภาพมากขึ้นมาก"
ชัยชนะที่ไม่ใช้ความรุนแรง
สำหรับเหตุผลที่ทำให้การต่อสู้โดยใช้อาวุธไม่ประสบความสำเร็จนั้น Stein Tønnesson อธิบายว่า เนื่องจากการต่อสู้ในปัจจุบันต้องใช้ต้นทุนของอาวุธมากขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงของสังคม เช่น สังคมกลายเป็นสังคมเมืองมากกว่าเดิม มีการสร้างถนนหนทาง ทำให้การคมนาคมสะดวกสบาย ดังนั้นกลุ่มกบฏจึงมีต้นทุนสูงขึ้นตามมา รวมทั้งเกิดการแบ่งแยกทางความคิด คือ หากกลุ่มต่อสู้ใช้อาวุธ รัฐมักจะตอบโต้ด้วยอาวุธในการปราบปราม ในขณะที่กลุ่มที่ไม่ใช้ความรุนแรง รัฐอาจเห็นใจมากกว่า
อย่างกรณีการต่อสู้ของพลังประชาชนในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ที่ต่อต้านประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ถือเป็นความความสำเร็จของประชาชนที่ไม่ใช้ความรุนแรง
เขายังตั้งคำถามต่อความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายคำถาม เช่น ทำไมกลุ่มต่อสู้ในพื้นที่จึงใช้วิธีการฆ่าครู ลอบสังหาร วางระเบิดรายวัน และเหตุใดการก่อเหตุแต่ละครั้งจึงไม่มีการประกาศว่าใครเป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลัง, เหตุใดการต่อสู้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงใช้ความรุนแรงทั้งๆ ที่มีอัตราการชนะต่ำ หรือกลุ่มต่อสู้มองว่ารัฐไทยจะล่มสลายในอีกไม่ช้า หรือกลุ่มต่อสู้หวังว่าจะมีการเรียกร้องกันในระดับโลกและมีการแทรกแซงจากต่างประเทศ เหตุที่กลุ่มต่อสู้ยังใช้วิธีการรุนแรงเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หรือกลุ่มต่อสู้มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยม ปกป้องไม่ให้รัฐไทยเข้ามารุกราน หวังเพียงต้องการรักษาอัตลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ หรือกลุ่มต่อสู้คิดว่าการใช้อาวุธเป็นเวลานานๆ จะนำไปสู่การพูดคุยเจรจา
สำหรับกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้ที่จะเดินหน้าต่อไปนั้เน Stein Tønnesson บอกว่า การพูดคุยและตัวแทนของกลุ่มผู้เห็นต่างต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ภาคประชาสังคมเองก็ต้องมองว่ามีอำนาจอย่างไรในการต่อรองกับรัฐไทย ต้องมีข้อเรียกร้องที่ไม่แบ่งแยกระหว่างกัน ต้องเรียกร้องเรื่องการไม่ใช้อาวุธระหว่างการพูดคุย มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และควรมีการอบรมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ใช้ความรุนแรง
การสื่อสารช่วยแก้ขัดแย้ง
Sanjana Yajitha Hattotuwa หัวหน้าหน่วยสื่อ ศูนย์นโยบายทางเลือก (Centre for Policy Alternatives) ประเทศศรีลังกา แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ระหว่างสองทางเลือกอันเป็นหายนะ: การใช้ศักยภาพของสื่อใหม่เพื่อเปลี่ยนผ่านความขัดแย้ง" (Between Scylla and Charybdis: Harnessing the Potential of New Media for Conflict Transformation) โดยระบุตอนหนึ่งว่า การสื่อสารกับสันติภาพต้องไม่แยกออกจากกัน นักสันติภาพสามารถใช้สื่อและเทคโนโลยีการสื่อสารเปลี่ยนผ่านสู่สันติภาพได้
"ปาตานีมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่สันติภาพได้ ผมกระตุ้นสังคมให้รู้สึกว่าต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่สันติภาพ ด้วยการสื่อสารผ่านสื่อหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ เหมือนกรณีปัญหาความขัดแย้งในประเทศศรีลังกาที่เทคโนโลยีและการสื่อสารมีส่วนช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศได้"
"ทุกวันนี้ผู้คนต่างใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสาร เราสามารถเห็นโลกในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เราไม่เคยเห็นข้อมูลข่าวสารของโลกกว้าง แต่สื่อใหม่ทำให้เราเห็นและสามารถสร้างข้อมูลของเรามาแบ่งปันต่อให้คนอื่นๆ รอบโลกได้อ่าน ฉะนั้นผู้ที่เป็นเหยื่อของความขัดแย้งยังสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในการแก้ไขความขัดแย้งได้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการเขียนเล่าเรื่องราวของตัวเอง เสนอเรื่องราวเพื่อให้ได้ข้อคิดเห็นหลากหลายมาช่วยจัดการความขัดแย้งนั้น"
เรียนรู้จากโซเชียลมีเดีย
Sanjana กล่าวต่อว่า หลังจากปี ค.ศ.2009 ศรีลังกาได้รับสันติภาพ สงครามสิ้นสุดลง เรากำลังมีอนาคตที่ค่อนข้างสดใส แต่ต้องตระหนักด้วยว่าความขัดแย้งและความเกลียดชังยังคงอยู่ในจิตใจของใครหลายคน ต้องศึกษาศิลปะของการเปลี่ยนผ่านความขัดแย้ง ไม่ต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนวิชาการเปลี่ยนผ่านความขัดแย้ง แต่เพียงค่อยๆ เรียนรู้ในสังคมหรือจากเพื่อนบ้านก็น่าจะพอ
อย่างไรก็ดี ต้องทำความเข้าใจเรื่องสื่อใหม่ หรือนิวมีเดีย ตลอดเวลา เพราะมีสิ่งที่ให้เรียนรู้และท้าทาย ต้องใช้สื่อในการสืบค้นงานวิจัยและแบ่งปันเรื่องราวความจริง
"เมื่อมีการเคลื่อนย้ายข้อมูลที่มากมาย นักสันติวิธีต้องดูว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่คุยกันในสื่อ ผู้คนมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อเหตุการณ์นั้นๆ มีการระบุหรือไม่ว่าใครเป็นผู้กระทำต่อเหตุการณ์ความขัดแย้ง ที่ผ่านมาในสื่อใหม่ของศรีลังกาจะให้ความสำคัญกับการพูดถึงเรื่องพุทธศาสนา อัตลักษณ์ของมุสลิม บทบาทหญิงชาย ความแตกแยกระหว่างชุมชนสิงหลกับชุมชนทมิฬ ซึ่งเป็นการพูดถึงหลากหลายแง่มุม เมื่อมีคนพูดถึงขึ้นมา ก็จะใช้สื่อในการสืบค้นย้อนหลังไปว่าเมื่อ 10 หรือ 20 ปีที่แล้วมีภาพถ่ายหรือข้อมูลใดบ้างที่พูดถึงเรื่องพวกนั้น"
"ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถผลิตข้อมูลได้ และใช้ข้อมูลผ่านสื่อเป็น เมื่อก่อนไม่มีทางทราบความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสงคราม แต่ปัจจุบันรู้ทันข่าว เช่น ข่าวความขัดแย้งในตุรกี หรือการลุกฮือที่อาหรับกรณีอาหรับสปริง ก็รู้ได้อย่างรวดเร็ว เราสามารถใช้สื่อในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้แน่นอน นิวยอร์กไทม์เคยพาดหัวข่าวและพูดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำในปาตานี"
"ชุมชนหรือคนยากจนมักใช้สื่อในการค้นหาอย่างกูเกิลในการหาข้อมูลด้านสุขภาพ ด้านศาสนา และการเล่นเกมเป็นส่วนใหญ่ แตกต่างกันกับระดับชนชั้นกลางและกลุ่มคนรวยที่ใช้เทคโนโลยีสืบค้นหาข้อมูลด้านที่พักร้อน ร้านอาหารและภัตตาคารหรู แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าทุกระดับต่างก็มีการใช้เทคโนโลยี"
รัฐบาลเซ็นเซอร์ไม่ได้ทุกอย่าง
Sanjana กล่าวด้วยว่า สื่อใหม่สามารถเก็บข้อมูลที่ผู้คนถกเถียงกันได้มากที่สุด ทำให้เห็นว่าศรีลังกาเจอกับปัญหาอะไรบ้าง ผู้คนเกลียดชังเรื่องอะไร ข้อมูลไหนที่ตั้งขึ้นแล้วไม่มีคนตอบ ก็จะนำข้อมูลนั้นส่งผ่านสื่อเพื่อประโยชน์ในการนำมาวิเคราะห์ และเป็นประโยชน์ในการเปลี่ยนผ่านความขัดแย้งไปสู่สันติภาพได้ หรืออาจเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการต่อสู้ก็เป็นได้
เช่น การเลียนแบบการชูมือสามนิ้ว อันเป็นรูปที่แสดงสัญลักษณ์ของการต่อต้าน หลายประเทศอาจจะไม่รู้ว่าประเทศไทยเกิดปัญหาอะไร แต่ที่ทราบได้คือมีความไม่ปกติในประเทศไทย โดยสัญลักษณ์ชูมือสามนิ้วของคนไทยเองก็เลียนแบบมาจากภาพยนตร์ที่ถูกแชร์ผ่านสื่อเช่นกัน
"อย่าไปคิดว่ารัฐบาลจะเซ็นเซอร์ข้อมูลที่ไม่เป็นมิตรกับรัฐบาล เพราะแท้ที่จริงแล้วรัฐบาลไม่สามารถเซ็นเซอร์ได้ทุกอย่าง ข้อมูลและความจริงที่เรากุมไว้สามารถส่งต่อได้ เครื่องมือเทคโนโลยีที่อยู่ในกระเป๋าของเราจะมีส่วนในการนำพวกเราไปสู่สังคมที่มีความเท่าเทียม" เขากล่าวในที่สุด
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 Stein Tønnesson
2 Sanjana Yajitha Hattotuwa