INFO:จำแนกครบ17จำเลย-โทษเรียงคนคดีทุจริตข้าวจีทูจีเจ๊งหมื่นล.ยกฟ้อง 8-ออกหมายจับ3

เขียนวันที่

วันศุกร์ ที่ 25 สิงหาคม 2560 เวลา 19:30 น.

เขียนโดย

isranews

หมวดหมู่

รายงาน-สกู๊ป | การทำผิดของเอกชน | เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา

Tags

INFOGRAPHIC : จำแนกให้เห็นชัดคดีทุจริตจำนำข้าวจีทูจีเก๊ 17 จำเลยโดนคุกหนัก ยกฟ้อง 8 ราย โรงสี-สามีน้อง ‘เสี่ยเปี๋ยง’ รอดหมด ออกหมายจับ ‘หมอโด่ง-สุธี’ ล่าสุด คนสกุล ‘จันทร์สกุลพร’ โดนอีก 1 เบ็ดเสร็จเสียหาย 1.82 หมื่นล.

PIC infoisra 25 8 60 1

หลายคนอาจทราบไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ เครือข่ายบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง รวมถึงเอกชนอื่น ๆ อีกรวม 28 ราย

ล่าสุด ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกจำเลยที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ทั้งหมด 17 ราย ยกฟ้อง 8 ราย และมีจำเลยหลบหนี 3 ราย

สำหรับตัวบทกฎหมายที่ศาลฎีกาฯพิพากษามีอย่างน้อย 3 ฉบับ ได้แก่ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 บัญญัติว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท

ผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) มาตรา 12 บัญญัติว่า เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.นี้ หรือกระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ มีความผิดฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาท

และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ.ป.ป.ช.) มาตรา 123/1 บัญญัติว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตําแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ใครเป็นใคร ผิดตามกฏหมายฉบับใด โทษจำคุกเท่าไหร่กันบ้าง ?

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จำแนกจำเลย-โทษ-พฤติการณ์เบื้องต้น ให้สาธารณชนทราบ ดังนี้

@กลุ่มแรก ถูกลงโทษตาม พ.ร.บ.ฮั้ว

กลุ่มนี้ ศาลฎีกาฯพิพากษาว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) มาตรา 4 วรรคหนึ่ง 10 และ 12 และผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1

จำเลยที่ 1 (นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์) มีพฤติการณ์อนุมัติการระบายข้าวจีทูจี สัญญาฉบับที่ 1 และ 2 (กับกวางตุ้ง รัฐวิสาหกิจจีน) ทั้งที่การระบายข้าวดังกล่าวไม่ได้มีการทำจีทูจีจริง แต่เป็นการเปิดช่องให้เอกชนนำข้าวมาเวียนขายภายในประเทศ เท่ากับว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าหน้าที่จัดการทรัพย์ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต กระทำความผิด 2 กระทง พิพากษาจำคุกกระทงละ 18 ปี รวม 36 ปี

จำเลยที่ 2 (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์) มีพฤติการณ์อนุมัติการระบายข้าวจีทูจี สัญญาฉบับที่ 3 และ 4 (กับกวางตุ้ง และไห่หนาน รัฐวิสาหกิจจีน) ทั้งที่การระบายข้าวดังกล่าวไม่ได้มีการทำจีทูจีจริง แต่เป็นการเปิดช่องให้เอกชนนำข้าวมาเวียนขายภายในประเทศ เท่ากับว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้ว กระทำความผิด 2 กระทง พิพากษาจำคุกกระทงละ 15 ปี รวม 30 ปี

อย่างไรก็ดีนายบุญทรง มีพฤติการณ์แก้ไขสัญญาระบายข้าวจีทูจี ฉบับที่ 1 และ 2 โดยแก้ไขให้เพิ่มปริมาณ และชนิดของข้าวเพื่อขายให้กับกวางตุ้ง แต่ท้ายสุดแล้วไม่ได้มีการทำจีทูจีจริง แต่เป็นการขายข้าวในราคาต่ำกว่าเดิม ทำให้ชาติเสียหาย แม้ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้ว แต่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123/1 กระทำความผิด 2 กระทง พิพากษาจำคุกกระทงละ 6 ปี รวม 12 ปี

รวมความผิด 4 กระทง พิพากษาจำคุกทั้งสิ้น 42 ปี

จำเลยที่ 4 (นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ) จำเลยที่ 5 (นายฑิฆัมพร นาทวรทัต อดีต ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว) และจำเลยที่ 6 (นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ) มีพฤติการณ์เจรจาซื้อขายข้าวจีทูจีกับรัฐวิสาหกิจจีน ทั้งที่ยังไม่ได้ตรวจสอบสถานะของรัฐวิสาหกิจจีนว่า ได้รับมอบอำนาจจากประเทศจีนเพื่อทำจีทูจีได้จริงหรือไม่ เท่ากับว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าหน้าที่จัดการทรัพย์ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต

จำเลยทั้ง 3 ราย ทำผิด 4 กระทง พิพากษาจำคุกนายมนัส กระทงละ 10 ปี รวม 40 ปี นายฑิฆัมพร กระทงละ 8 ปี รวม 32 ปี และนายอัครพงศ์ กระทงละ 6 ปี รวม 24 ปี

จำเลยที่ 7 (นายสมคิด เอื้อนสุภา) และจำเลยที่ 9 (นายลิตร พอใจ) อ้างว่าเป็นผู้รับมอบอำนาจจากกวางตุ้ง และไห่หนาน นอกจากนี้ยังผิดในฐานะผู้รับเงินจากกลุ่มเอกชนไปทำแคชเชียร์เช็ค เพื่อไปเบิกจ่ายกับกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อเบิกข้าวออกมาจากคลังของรัฐ มีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

โดยนายสมคิดทำผิด 3 กระทง พิพากษาจำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 12 ปี และยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 อีก 1 กระทง กระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 16 ปี ส่วนนายลิตร ทำผิด 2 กระทง กระทงละ 4 ปี รวม 8 ปี

กลุ่มเครือข่ายบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ได้แก่ จำเลยที่ 11 (น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง) จำเลยที่ 12 (น.ส.เรืองวัน เลิศศลารักษ์) จำเลยที่ 14 (นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง) และจำเลยที่ 15 (นายนิมล รักดี) ทั้งหมดทราบแต่ต้นว่า การขายข้าวจีทูจีให้กับกวางตุ้ง และไห่หนาน ไม่ได้เป็นการทำจีทูจีจริง และอยู่ร่วมในกระบวนการนำกวางตุ้ง และไห่หนานเข้ามาทำสัญญาข้าวจีทูจีกับกรมการค้าต่างประเทศ และมีการนำข้าวทั้งหมดมาเวียนขายตั้งแต่ต้น มีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

โดย น.ส.รัตนา และ น.ส.เรืองวัน ผิด 4 กระทง พิพากษาจำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 16 ปี นายอภิชาติ ผิด 4 กระทง พิพากษาจำคุกกระทงละ 12 ปี รวม 48 ปี และนายนิมล ผิด 4 กระทง พิพากษาจำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 32 ปี

@กลุ่มสอง ไต่สวนไม่พบผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้ว แต่ผิดประมวลกฎหมายอาญา ม.151

จำเลยที่ 8 (นายรัฐนิธ โสจิระกุล) อ้างว่าเป็นผู้รับมอบอำนาจจากกวางตุ้ง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นทางเงินในการทำแคชเชียร์เช็คเพื่อเบิกจ่ายกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อเบิกข้าวออกมาจากคลังของรัฐ มีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อย่างไรก็ดีจากการไต่สวนไม่พบว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้ว แต่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มีความผิด 2 กระทง พิพากษาจำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 8 ปี

จำเลยที่ 13 (น.ส.สุทธิดา ผลดี หรือจันทะเอ พนักงาน-กรรมการ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด) จำเลยที่ 17 (นางสุนีย์ จันทร์สกุลพร) จำเลยที่ 18 (นายกฤษณะ สุระมนต์) เป็นพนักงาน และกรรมการของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด มาอย่างยาวนาน และมีบทบาทสำคัญในการเบิกจ่ายเงินในการไปซื้อแคชเชียร์เช็คเพื่อไปเบิกข้าวออกจากคลัง อย่างไรก็ดีจากการไต่สวนไม่พบว่า มีส่วนรู้เห็นในการนำกวางตุ้ง และไห่หนาน เข้ามาทำสัญญาข้าวจีทูจีกับกรมการค้าต่างประเทศ จึงมีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

โดยจำเลยทั้ง 3 ราย มีความผิดคนละ 1 กระทง พิพากษาจำคุกรวม 4 ปี

@กลุ่มสาม ยกฟ้องรวม 8 ราย

จำเลยที่ 19 (นายสมยศ คุณจักร) เป็นสามีของนางสุดา คุณจักร น้องสาวของนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ทางไต่สวนแล้วไม่พบว่า มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับขบวนการนำกวางตุ้ง และไห่หนานเข้ามาทำสัญญากับกรมการค้าต่างประเทศเพื่อทำจีทูจี แม้พบว่า มีเงินไหลเข้าบัญชีหลายสิบล้านบาท แต่ไม่มีพยานหลักฐานดังกล่าวว่า เงินดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการทำสัญญาขายข้าวจีทูจีดังกล่าว พิพากษายกฟ้อง

จำเลยที่ 22-28 ได้แก่ 22.หจก.โรงสีกิจทวียโสธร 23.นายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.โรงสีกิจทวียโสธร และกรรมการบริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด 24.บริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด 25.บริษัท เค.เอ็ม.ซี.อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด 26.นายปกรณ์ ลีศิริกุล กรรมการบริษัท เค.เอ็ม.ซี.อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด 27.บริษัท เจียเม้ง จำกัด 28.นางประพิศ มานะธัญญา กรรมการบริษัท เจียเม้ง จำกัด

ทางการไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 22-28 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำกวางตุ้ง และไห่หนาน เข้ามาทำสัญญากับกรมการค้าต่างประเทศเพื่อทำจีทูจี และการจ่ายแคชเชียร์เช็คดังกล่าว ก็เชื่อว่า ทำไปเพื่อรับมอบข้าวออกมาจากคลังของรัฐ ที่กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้การันตี ไม่มีพฤติการณ์ทราบอยู่แล้วว่า ข้าวดังกล่าวคือข้าวที่ต้องทำจีทูจี และการซื้อข้าวดังกล่าว ก็เป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาด ไม่ใช่ข้าวราคาต่ำที่ถูกนำไปเวียนขายแต่อย่างใด พิพากษายกฟ้อง

@กลุ่มสี่ ผู้ถูกออกหมายจับที่ถูกศาลเชื่อว่ามีพฤติการณ์หลบหนี

จำเลยที่ 3 (พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์) จำเลยที่ 16 (นายสุธี เชื่อมไธสง) ที่ไม่เข้าฟังตามนัดการไต่สวนต่อศาลฎีกาฯ ตั้งแต่นัดแรกช่วงต้นปี 2559 และถูกศาลฎีกาฯออกหมายจับนับแต่นั้น

ล่าสุดคือจำเลยที่ 21 (น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร) ที่เข้ามาฟังการไต่สวนมาตลอด แต่วันนัดฟังคำพิพากษา ทนายความยื่นคำร้องต่อศาลว่า น.ส.ธันยพร แจ้งเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2560 ว่า ป่วยด้วยอาหารเป็นพิษ เสี่ยงไตเสื่อมเฉียบพลัน พักรักษาตัวอยู่ที่ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี ฝ่ายโจทก์ (พนักงานอัยการ) คัดค้าน ไม่เชื่อว่าป่วยจริง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า อาการป่วยดังกล่าว ไม่น่าจะสาหัสที่มาฟังคำพิพากษาไม่ได้ พฤติการณ์เชื่อได้ว่าหลบหนี สั่งปรับนายประกัน และออกหมายจับ

@สั่งปรับเอกชนที่เกี่ยวข้อง

จำเลยที่ 10 (บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด) สั่งปรับ 2.5 แสนบาท จำเลยที่ 20 (บริษัท สิราลัย จำกัด ปัจจุบันคือบริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด) สั่งปรับ 2.5 หมื่นบาท

@สั่งชดใช้เงินค่าเสียหายให้กับกระทรวงการคลัง

คดีนี้มี 5 หน่วยงานรัฐที่ยื่นคำร้องเข้ามาเพื่อขอให้จำเลยชดใช้เงินคดีดังกล่าวด้วย ได้แก่ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง องค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) และองค์การคลังสินค้า (อคส.) รวมเป็นเงินถึง 2.6 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดีศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า หน่วยงานรัฐ 4 แห่ง ไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง คือ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ อ.ต.ก. และ อคส. มีแค่กระทรวงการคลังเท่านั้นที่มีอำนาจ

ศาลพิเคราะห์ตามข้อเท็จจริงของราคาข้าว และสภาพของข้าว ที่จำเลยจะต้องเป็นผู้ชดใช้แล้ว เห็นว่า สัญญาข้าวฉบับที่ 1 มีมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นประมาณ 9.7 พันล้านบาท ฉบับที่ 2 เสียหาย 1.2 พันล้านบาท ฉบับที่ 3 เสียหาย 5.6 พันล้านบาท และฉบับที่ 4 เสียหาย 162 ล้านบาท ไม่สูงถึง 2.6 หมื่นล้านบาทอย่างที่กระทรวงการคลังเรียก

ให้จำเลยที่ 10 (บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด) จำเลยที่ 14 (นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง) และจำเลยที่ 15 (นายนิมล รักดี) ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายรวมประมาณ 1.69 หมื่นล้านบาท จำเลยที่ 20 (บริษัท สิราลัย จำกัด ปัจจุบันคือบริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด) และจำเลยที่ 21 (น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร) ชดใช้รวมประมาณ 1.3 พันล้านบาท

ให้จำเลยที่ 7 (นายสมคิด) และจำเลยที่ 9 (นายลิตร) ชดใช้คนละ 5 ล้านบาท จำเลยที่ 8 (นายรัฐนิธ) ชดใช้ 1 ล้านบาท จำเลยที่ 13 (น.ส.สุทธิดา ผลดี หรือจันทะเอ พนักงาน-กรรมการ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด) และจำเลยที่ 17 (นางสุนีย์ จันทร์สกุลพร) ชดใช้คนละ 10 ล้านบาท

ขั้นตอนต่อจากนี้ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 195 วรรคสี่ บัญญัติให้ คู่ความสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานใหม่

ดังนั้นต้องรอดูท่าทีของนายภูมิ บุญทรง อดีตข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพาณิชย์ และเครือข่ายเอกชนกลุ่มสยามอินดิก้า และเสี่ยเปี๋ยง จะเดินหมากสู้อย่างไรต่อ

แต่ที่แน่ ๆ คนที่ลอยนวลสบายไปแล้วคือ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ และนายสุธี ที่หลบหนีคดีไปก่อนหน้านี้ ไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ แล้ว?

PIC infokhao 25 8 60 1