พ.ท.หญิงผู้ถูกถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯ ที่แท้ทุจริตขายซากรถ 49 คัน ขส.ทบ.

เขียนวันที่

วันศุกร์ ที่ 31 มีนาคม 2560 เวลา 19:30 น.

เขียนโดย

isranews

หมวดหมู่

รายงาน-สกู๊ป | Isranews | เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา

Tags

ขายซากรถยนต์ | พ.ท.หญิง | เครื่องราชฯ | ถอดยศ

เบื้องหลัง พ.ท.หญิง 1 ใน 8 ผู้ถูกถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯลอตล่าสุด ที่แท้ทุจริตขายซากรถยนต์ 49 คัน ขส.ทบ. เสียหาย 7.6 ล. หลังถูก สตง.สอบลับตั้งแต่ปี 57 ส่ง‘พล.อ.ธีรชัย’ ตั้ง กก.สอบ ก่อนถูกปลดจากราชการ

picsio0331 3 17

กรณีเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2560 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี พระราชทานพระราชานุญาตให้ถอดยศทหาร และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ให้ถอดนายทหาร 7 รายและข้าราชการพลเรือน 1 ราย รวมทั้งสิ้น 8 ราย โดย 1 ใน 8 รายคือ พ.ท.หญิง ศิริโสภา จันทรุกขา สังกัดกองทัพบก ถูกถอดยศทหารและเรียกคืนเครื่องราชฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 2559 ซึ่งเป็นวันที่มีคําสั่งปลดออกจากราชการ เนื่องจากกระทําความผิดวินัยทหารอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง (อ่านประกอบ: ถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯ 7 นายทหาร -1 ขรก. ทุจริต ก่อคดี ผิดวินัยร้ายแรง)

หลายคนอาจสงสัยว่าชนวนที่นายทหารคคนดังกล่าวถูกปลดออกจากราชการมาจากเรื่องใด?

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สืบค้นข้อมูลพบว่า บุคคลดังกล่าวเกี่ยวพันกับการทุจริตขายซากรถยนต์ของทางราชการตามที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ได้ตรวจสอบพบและส่งเรื่องให้กองทัพบกตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ต่อมา 14 พ.ย.57 พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วย ผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.-ขณะนั้น) ได้มีคำสั่งอนุมัติให้ จเรทหารบก (จบ.) ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ตามข้อมูลที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานก่อนหน้านี้ (อ่านประกอบ:คดีใหม่!ลักลอบขายซากรถยนต์ 49 คัน ทบ. ‘พล.อ.ธีรชัย’สั่งสอบหลัง สตง.พบ‘หลายครั้ง’)

รายงานผลการสอบสวนก่อนที่พล.อ.ธีรชัย มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนมีดังนี้

สตง.ได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ กค.ขส.ทบ. ว่ามีการร่วมกันลักลอบนำรถยนต์ของทางราชการจำนวนกว่า 20 คัน ขายให้กับบุคคลภายนอก ได้เงิน 2 ล้านบาท โดยบุคคลทั้งสองได้ทำผิดมาหลายครั้ง แต่ไม่มีใครลงโทษ จึงขอให้ ทบ. แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้ทบทวนการควบคุมภายในให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ

กพ.ทบ. (กรมกำลังพล) ได้แจ้งให้ ขส.ทบ. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

ขส.ทบ. (กรมการขนส่งทหารบก) ได้รายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงพบว่ามีการกระทำอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการ โดยการนำเอาซากยานพาหนะที่ชำรุดไปจากหน่วยใช้โดยตรง ทั้งนี้ ขส.ทบ.ได้พิจารณาขอให้ลงทัณฑ์ทางวินัยกับกำลังพลที่เกี่ยวข้องตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของ ขส.ทบ. จำนวน 2 นาย ประกอบด้วย พ.ท.หญิง ศิริโสภา หน.ขส.ทบ. และ จ.ส.อ.จีระศักดิ์ ชูพงศ์ เจ้าหน้าที่แผนกทะเบียน กค.ขส.ทบ. เนื่องจาก ปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นตามระเบียบ ทบ. ว่าด้วยการจำหน่ายสิ่งอุปกรณ์ พ.ศ.2557 พร้อมกับให้ ทบ.พิจารณาสั่งการ ในการดำเนินการเกี่ยวกับแพ่ง และทางอาญา กับผู้ที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป

ขส.ทบ. รายงานมูลค่าความเสียหายกรณีกำลังพล ลักลอบนำซากยานพาหนะของทางราชการขายกับบุคคลภายนอก ด้วยการนำเอาข้อมูลราคากลาง ซาก สป. ทั้ง 49 คัน ซึ่งเป็นมูลค่าที่ทางราชการควรจะได้รับประโยชน์ จากการแลกเปลี่ยนมาเป็นกรอบในการคำนวณ คิดเป็นมูลค่า ความเสียหายทั้งสิ้น 7,684,370.38 บาท

กพ.ทบ. ได้ส่งรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของ ขส.ทบ. ให้ สธน.ทบ. (สำนักงานพระธรรมนูญทหารบก) และ กบ.ทบ. ( กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก) พิจารณาร่วม

กบ.ทบ. พิจารณาร่วมแล้วมีความเห็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ กค.ขส.ทบ. ได้ละเว้นและไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ทบ.ว่าด้วยการจำหน่ายอุปกรณ์ พ.ศ.2557 กล่าวคือ ไม่ได้นำซากยานพาหนะ ที่ได้รับอนุมัติให้จำหน่ายและตัดยอดจากบัญชีคุมรวมทั้งได้รับการปลดทะเบียนรถยนต์ทหารแล้วที่หน่วยต่างๆ ใน ทบ. นำส่งคืนไปเก็บไว้ที่ตำบลรวบรวมซาก สป.จำหน่ายของ ขส.ทบ. (กค.ขส.ทบ.) เพื่อขึ้นบัญชีคุมเป็น สป. จำหน่ายของหน่วย รวมทั้งยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก ผบ.ทบ. ให้ปฏิบัติต่อซากยานพาหนะด้วยวิธีการแลกเปลี่ยน หรือขายทอดตลาดอย่างหนึ่งอย่างใดก่อนถึงจะให้ผู้ประกอบการมาดำเนินการขนย้ายซากยานพาหนะจากตำบลรวบรวมซาก สป. จำหน่ายของ ขส.ทบ. (กค.ขส.ทบ.) ไปยังสถานประกอบการของผู้ประกอบการได้ ทั้งนี้ในการส่งมอบซากยานพาหนะ ขส.ทบ.จะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการส่งมอบซากฯ และทำหลักฐานบันทึกการส่งมอบไว้แก่กันด้วย สำหรับการที่จะพิจารณาว่ามีกำลังพลของหน่วย กระทำผิดวินัยทหาร จำนวน 2 นาย ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ เห็นควรให้หน่วยที่เกี่ยวข้องของ ทบ. ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป

สธน. ทบ. พิจารณาร่วมแล้วมีความเห็นว่า จากข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานในสำนวนเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการ แต่เป็นเรื่องที่ กค.ขส.ทบ. ได้เคยปฏิบัติมาจึงถือได้ว่าการกระทำของ พ.ท.หญิง ศิริโสภา และ จ.ส.อ. จีระศักดิ์ มีมูลความผิดทางวินัยทหาร และอาญาทหาร ฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบและขอบังคับของทางราชการ

ส่วนจะเป็นความผิดทางอาญาอื่นๆ ยังไม่สามารถระบุได้ว่า พ.ท.หญิง ศิริโสภา และ จ.ส.อ. จีระศักดิ์ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องอย่างไรในการนำซากยานพาหนะของทางราชการไปจำหน่ายให้เอกชนได้ อีกทั้ง ไม่มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่าหน่วยเจ้าของซากยานพาหนะจะต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อจำหน่ายซากยานพาหนะ ตลอดจนการดำเนินการของ ขส.ทบ. จึงยังไม่สามารถสรุปเพื่อชี้ว่า กำลังพลทั้งสองนายดังกล่าว มีมูลเป็นความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริตหรือไม่

เอกสารระบุว่า ส่วนจะเป็นความผิดอาญาอื่นหรือไม่ นั้น เห็นว่า ข้อมูลและพยานหลักฐานการกระทำของ พ.ท.หญิง ศิริโสภา และ จ.ส.อ. จีระศักดิ์ นาย จ. (ขอปิดบังชื่อ) เอกชน มีลักษณะการกระทำที่อาจถือเป็นความผิดอาญาฐานลักทรัพย์ สมควรที่จะต้องดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อให้ได้ความชัดเจนในประเด็นต่างๆมากกว่านี้ก่อน

กพ.ทบ.พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามรายงานผลการสอบสวนฯของ ขส.ทบ. ได้พิจารณาลงทัณฑ์ทางวินัยกับกำลังพลที่เกี่ยวข้อง โดยมิได้ทำการสอบสวนให้ได้ความชัดเจนว่ากำลังพลที่เกี่ยวข้องกระทำการอันมีมูลความผิดในทางอาญาฐานใด หรือไม่ อย่างไร และจากผลการพิจารณาของ สธน.ทบ. และ กบ.ทบ. ก็ไม่สามารถ นำข้อเท็จจริงตามรายงานผลการสอบสวนฯ ของ ขส.ทบ. มาพิจารณาได้

รายงานระบุว่า ดังนั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงถูกต้อง ครบถ้วน ตามผลการพิจารณาของ สธน.ทบ. และ กบ.ทบ. และสามารถดำเนินการต่อผู้กระทำผิดได้ จึงเห็นสมควรให้ จบ. ตั้งคณะกรรมการ สอบสวนข้อเท็จจริง ในระดับ ทบ. เพื่อทำการสอบสวนต่อกรณีดังกล่าว แล้วรายงานผลการสอบสวนฯให้ ทบ.(ผ่าน กพ.ทบ. ทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป

สำนักข่าวอิศรารายงานเรื่องนี้เมื่อ 24 มิ.ย. 2559 (อ่านประกอบ:พฤติกรรม‘พ.ท.หญิง-พวก’คดีขายรถ 49 คัน ทบ.‘พล.อ.ธีรชัย’สั่งสอบ- 2 ปียังไม่เสร็จ?) จ.ส.อ. จีระศักดิ์ ถูกกองทัพบกปลดออกจากราชการ ตั้งแต่เดือนก.พ.2558 ตามมาด้วย พ.ท.หญิง ศิริโสภา ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 2559

กระทั่งถูกถอนดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯ

ที่น่าสนใจคือ เอกชนที่ร่วมกระทำผิดในการลักลอบขายซากรถยนต์ดังกล่าว กองทัพบกดำเนินการเอาผิดอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วหรือไม่?

หรือยังคงลอยนวล และกลับมาเป็นคู่ค้ากับหน่วยงานของกองทัพต่อไป?