ฉบับเต็ม!คำวินิจฉัย ศาล รธน.ยุบ ทษช. ‘ทำให้สถาบันฯถูกบ่อนทำลาย-ประชาธิปไตยเสื่อมทราม’
“…การกระทำของพรรค ทษช. นำสมาชิกพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง มาฝักใฝ่ในทางการเมือง เป็นการกระทำที่วิญญูชนเห็นว่า ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ ต้องถูกนำมาใช้เพื่อความได้เปรียบทางการเมืองอย่างแยบยล ปรากฏผลมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่สนใจพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการสุ่มเสี่ยงสถานะที่ทรงอยู่เหนือการเมือง และดำรงความเป็นกลางทางการเมือง จุดประสงค์เบื้องต้นเพื่อเซาะกร่อน ทำให้อ่อนแอลง เข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข…”
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : เป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีมีมติเอกฉันท์ยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องให้วินิจฉัยยุบพรรค ทษช. กรณีเสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค โดยเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค รวม 10 ปี และห้ามก่อตั้งพรรคใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคอื่น เป็นเวลา 10 ปี
----
เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ครบองค์ประชุม 9 ราย ขึ้นนั่งบัลลังก์ โดยฝั่งผู้ร้องคือ กกต. มี พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง และฝ่ายผู้ถูกร้องคือพรรค ทษช. มี ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค รวมถึงสมาชิกพรรคเข้ารับฟัง เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง เป็นต้น
นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นั่งบัลลังก์แถลงว่า คดีนี้มีประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัย 3 ประเด็น โดยมอบหมายให้นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ เป็นผู้แถลงคำวินิจฉัย ได้แก่
ประเด็นที่หนึ่ง มีเหตุให้ยุบพรรค ทษช. ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า พิจารณาแล้วเห็นว่า การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถูกสถาปนาขึ้นโดยธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราวปี 2475 และหมวดที่ 1 หมวดพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 11 ในธรรมนูญฉบับดังกล่าว บัญญัติว่า พระบรมวงศานุวงศ์ ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าโดยกำเนิด หรือโดยแต่งตั้ง ย่อมำรงตำแหน่งฐานะเหนือการเมือง ตามพระประสงค์ของพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ฉบับที่ 1/60 ปี 2475 ถึงพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานกรรมการสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญปี 2475 ซึ่งพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เห็นชอบด้วยทุกประการ
พระราชหัตถเลขาดังกล่าว ระบุว่า หลักการพระบรมวงศานุวงศ์ อยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะ ไม่ควรแก่ตำแหน่งทางการเมือง เพราะการเมืองจะนำมาทั้งในทางพระเดช และพระคุณ และอาจถูกติเตียน นำมาซึ่งความขมขื่น โดยการรณรงค์หาเสียงต่างฝ่ายต่างโจมตีใส่ร้าย ทำลายความสงบเรียบร้อย ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเจ้านาย กับราษฎร ควรถือเสียว่า พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป ทรงอยู่เหนือการเมือง ส่วนเจ้านายจะทำนุบำรุงประเทศ มีโอกาสบริบูรณ์ในทางตำแหน่งประจำ หรือวิชาชีพเป็นพิเศษอยู่แล้ว
หลักการพื้นฐานดังกล่าว ถือเป็นเจตนารมณ์ร่วมของการสถาปนาระบอบการปกครองไทย ไว้ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่แรกเริ่ม ฉันทามติของสภาผู้แทนราษฎร ให้การยอมรับ ปฏิบัติสืบต่อมาว่า พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ทรงดำรงตำแหน่งฐานะเหนือการเมือง การเข้าไปมีบทบาทฝักฝ่าย อาจนำมาซึ่งการโจมตีติเตียน กระทบความสมัครสมานระหว่างพระมหากษัตริย์ กับราษฎร เป็นหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) มีการปรับปรุงรัฐธรรมนูญปี 2475 ทั้งฉบับ อันนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2489 แม้เว้นการบัญญัติจำกัดบทบาทของพระบรมวงศานุวงศ์ในทางการเมืองไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่กระนั้นก็หาได้ทำให้หลักการพื้นฐานทางรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยฐานะของพระบรมวงศานุวงศ์ทรงอยู่เหนือการเมือง และอาจกระทบกระเทือนต่อความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกลบล้างไปไม่
ทั้งนี้เป็นที่ประจักษ์ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 6/2543 กรณี กกต. ออกระเบียบให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขณะนั้นว่า พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้ง อีกทั้งให้เลขาธิการพระราชวัง แจ้งเหตุที่ทำให้ไม่อาจใช้สิทธิเลือกอตั้งแทนพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป
ต่อมา กกต. พิจารณาแล้วเห็นว่า มีปัญหาในทางปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มีบุคคลใดบ้างไม่อยู่ในข่าย หรือยกเว้นไม่ต้องแจ้งเหตุอันควร ที่ทำให้ไม่อาจไปเลือกตั้งได้ตามมาตรา 68 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2540
ศาลรัฐธรรมนูญ (ขณะนั้น) วินิจฉัยว่า รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ รวมทั้ง 2540 มีหมวดพระมหาษัตริย์เป็นการเฉพาะ เป็นบทบัญญัติรับรองสถานะพิเศษตามคติระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ฯประมุข ทรงอยู่เหนือการเมือง และทรงดำรงอยู่ในการเคารพสักการะ ละเมิดการถูกกล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ทางใดมิได้ และทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ทรงอยู่เหนือการเมือง ธำรงไว้ซึ่งความเป็ฯกางทางการเมือง
ที่ผ่านมาพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส และพระราชธิดา ไม่เคยไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และหากกำหนดให้พระบรมวงศานุวงศ์ที่มีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ ที่ทรงได้รับการโปรดเกล้าฯไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นนิจ ทรงไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จะทำให้เกิดความขัดแย้ง และไม่สอดคล้องกับหลักการของการทรงดำรงอยู่เหนือการเมือง และความเป็ฯกลางทางการเมืองของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ (ขณะนั้น) วินิจฉัยว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 68 มิให้บังคับใช้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 22 และ 23
หลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำรงอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามนัยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 6/2543 ข้างต้น สอดคล้องกับหลักการว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ครองราชย์ มิใช่ผู้ปกครอง เป็นหลักการของหลักประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ กล่าวคือ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นบ่อเกิดแห่งความชอบธรรมของระบบการเมือง เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ และรวมกันเป็นปึกแผ่นของคนในชาติ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ใช้อำนาจอธิปไตยทางการเมืองแบบสภาผู้แทนราษฎร
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย มีความแตกต่างจากการปกครองของระบอบที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐในลักษณะอื่น ที่มีบทบาททางการเมืองโดยตรง ควบคุมการใช้อำนาจทางการเมืองผ่านการแต่งตั้งพระบรมวงศานุวงศ์เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ดังเช่นระบอบราชาธิปไปตย ที่บังคับใช้ในรัฐธรรมนูญบางประเทศ
การกระทำของพรรค ทษช. ที่เสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ในนามพรรคการเมืองเพื่อแข่งขันกับพรรคอื่น ในการรณรงค์หาเสียง และกระบวนการให้ความเห็นชอบบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการกระทำที่เล็งเห็นได้ว่า ส่งผลให้ระบอบการเมือง การปกครองไทย แปรเปลี่ยนไปสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีพระบรมวงศานุวงศ์ทำหน้าที่ใช้อำนาจทางการเมืองปกครองประเทศ
สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้หลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงครองราชย์ มิใช่ปกครอง ถูกเซาะบ่อนทำลาย หรือเกิดความเสื่อมทรามให้ถูกทำลาย
อนึ่ง รัฐธรรมนูญปี 2560 มีเจตนารมณ์สำคัญประการหนึ่ง มุ่งลดเงื่อนไขความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศมีความสงบสุข บนฐานรู้รักสามัคคี ภายใต้หลักการปกครอง และประเพณีการปกครองตามลักษณะของสังคมไทย
รัฐธรรมนูญปี 2560 บัญญัติรับรองปกป้อง คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนไทยอย่างกว้างขวาง สร้างความตื่นตัวเรื่องสิทธิเสรีภาพ ปรากฏชัดในข้อเท็จจริงว่า ในการจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มี.ค. 2562 มีผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขต จำนวนมากกว่า 1 หมื่นคน พรรคการเมืองส่งผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 77 พรรค และมีพรรคการเมืองเสนอรายชื่อบุคคลให้รัฐสภาแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี 44 พรรค
อย่างไรก็ตามการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองที่รัฐธรรมนูญรับรอง ต้องอยู่ใต้กฎเกณฑ์ที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย และต้องไม่ใช่การใช้สิทธิเสรีภาพในการบั่นทอนทำลายหลักการพื้นฐานรัฐธรรมนูญ สั่นคลอนฐานรากระบอบประชาธิปไตย ที่ดำรงอยู่ในเสื่อมโทรมไป
ด้วยเหตุนี้ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของอารยประเทศ บัญญัติกลไกปกป้องระบอบการปกครอง บ่อนทำลาย หรือใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขตของบุคคล หรือพรรคไว้เสมอ แม้พรรค ทษช. จะมีสิทธิและเสรีภาพดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติไว้โดยสมบูรณ์ แต่การใช้สิทธิและเสรีภาพกระทำการใด ๆ ของพรรค ย่อมตระหนักว่า การกระทำนั้นต้องไม่ใช้สิทธิเสรีภาพที่ได้รับจากรัฐธรรมนูญ ย้อนกระทบกลับมาทำลายบรรทัดฐาน และคุณค่าของรัฐธรรมนูญเสียเอง
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามราชประเพณี ความมั่นคงทางสถานะ และเอกลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์โบราณ รวมถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ที่พระองค์ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยผ่านรัฐสภา เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติทุกเพศทุกวัยทุกศาสนา เคารพรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และโบราณราชประเพณี ทรงอยู่เหนือการเมือง ต้องทรงเป็นกลางทางการเมือง
ทรงต้องระวังมิให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยต้องถูกนำไปเป็นคู่แข่ง หรือฝักใฝ่ฝ่ายใดในทางการเมืองอย่างเคร่งครัด หากถูกกระทำการด้วยวิธีการใด ๆ ให้เกิดผลเป็นไปเช่นนั้น สภาวะความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมสูญเสียไป หากเสียความเป็นกลาง ย่อมไม่สามารถดำรงพระองค์เพื่อให้ได้รับการปกป้องให้อยู่เหนือการเมืองได้ ถ้าปล่อยให้สภาพการณ์เป็นไปเช่นนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่อาจเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทยอีกต่อไป ย่อมทำให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทย ต้องเสื่อมโทรม หรือสูญสิ้นไป หาควรปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่
ระบอบประชาธิปไตย และโบราณราชประเพณี จะต้องนำมาใช้บังคับในทางรัฐธรรมนูญ กรณีไม่มีบทบัญญัติลายลักษณ์อักษร ถึงแม้ไม่มีนิยามศัพท์เฉพาะ แต่พออนุมานเบื้องต้นได้ว่า ตามความในปรากฏชื่อเรียก
1.หมายถึง ประเพณีการปกครองที่ปฏิบัติมานานจนเป็นประเพณีดีงาม ไม่ใช่ประเพณีด้านอื่น
2.ประเพณีการปกครองของไทยที่ยอมรับนับถือกันว่าดีงามในไทย ควรแก่การถนอมรักษาสืบสานให้มั่นคง ไม่ใช่ประเพณีการปกครองของประเทศอื่น หรือลัทธิอื่น
3.ประเพณีการปกครองที่ถือปฏิบัติในวาระสมัยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น
4.ประเพณีการปกครองไทย หมายถึงระบอบเสรีประชาธิปไตย มิใช่ประชาธิปไตยรูปแบบอื่น ทฤษฎีอื่น หรืออุดมการณ์อื่น
ตัวอย่างชัดแจ้งคือ ประเพณีการปกครองแผ่นดินโดยธรรม ที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจโดยธรรม ทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม สร้างความสำเร็จแก่ส่วนรวม และทำให้ประชาชนในชาติมีความผาสุก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมือง ทรงเป็นกลางทางการเมือง ต้องไม่เปิดช่อง เปิดโอกาสให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกนำไปใช้ประโยชน์ โดยฝักใฝ่ทางการเมือง ไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อม แม้ว่าจะไม่มีบทบัญญัติให้ทรงอยู่เหนือการเมืองเป็นการเฉพาะ แต่ต้องนำประเพณีการปกครองมาใช้บังคับด้วย ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 5 วรรคสอง
พรรคการเมืองมีความสำคัญ เพราะเป็นองค์กรกำหนดตัวบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร มีกรรมการบริหารพรรคเป็นเสมือนมันสมอง และระบบจิตใจใช้ดุลพินิจ ตัดสินใจแทนพรรค ผู้จัดตั้งพรรค ต้องมีความรับผิดชอบต่อทุกการตัดสินใจในการกระทำของพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความมั่นคงดำรงอยู่ พัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน ถ้าพรรคการเมืองใดมีการกระทำล้มล้าง หรือปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พรรคการเมืองนั้นรวมทั้ง กรรมการบริหารพรรคต้องถูกลงโทษทางการเมืองตาม พ.ร.บ.พรรคฯ มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) หรือ (2) แล้วแต่กรณี
การอ้างว่าไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่อาจเป็นข้อแก้ตัวให้หลุดพ้นความผิดไปได้ไม่ แม้กฎหมายไม่ได้บัญญัตินิยามศัพท์คำว่าล้มล้าง และปฏิปักษ์ไว้ แต่ทั้ง 2 คำเป็นภาษาไทย ที่ใช้ และรับรู้โดยทั่วไป ศาลย่อมรู้ได้เอง ล้มล้าง หมายถึง การทำลาย ล้างผลาญ สลายหมดไป ไม่ให้ธำรงอยู่ หรือมีอยู่ต่อไปอีก ส่วนปฏิปักษ์ หมายถึง ไม่จำเป็นต้องรุนแรง ถึงเจตนาล้มล้างทำลายให้สิ้นไป และไม่อาจตั้งตนเป็นศัตรู เพียงแค่ขัดขวางมิให้เจริญก้าวหน้า หรือกระทำบ่อนทำลาย ทำให้ชำรุด อ่อนแอลง ก็เข้าข่ายปฏิปักษ์ได้แล้ว
ประเด็นเรื่องเจตนานั้น พ.ร.บ.พรรคฯ มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) บัญญัติชัดเจน เพียงแค่อาจเป็นปฏิปักษ์ก็ต้องห้ามแล้ว หาต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือรอให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงขึ้นเสียก่อนไม่ เพื่อให้เป็นมาตรการป้องกันการเสียหายแก่สถาบันหลักของประเทศ เป็นนโยบายตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ให้กองไฟเล็ก โหมไหม้ จนเป็นมหันตภัยที่มิอาจต้านทานได้
ที่ว่าอาจเป็นปฏิปักษ์ เป็นเงื่อนไขภาววิสัย ไม่ขึ้นเป็นปฏิปักษ์ หากความคิดของวิญญูชน จะเห็นว่า การกระทำดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์ เทียบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 กรณีหมิ่นประมาทน่าจะทำให้เสียชื่อเสียง หรือดูหมิ่น ซึ่งศาลฎีกาวางบรรทัดฐานไว้มั่นคงว่า การพิจารณาถ้อยคำใส่ความจนถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ต้องพิจารณาความรับรู้ในถ้อยคำของวิญญูชนทั่วไปเป็นเกณฑ์ และข้อความใดทำให้เสียหายแก่ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ต้องถือเอาความคิดของบุคคลธรรมดาพูดให้คนอื่นฟัง ไม่เกี่ยวกับเจตนา ผลของการใส่ความผู้อื่นทำให้เสียชื่อเสียง ดูหมิ่นหรือไม่นั้น ศาลวินิจฉัยเองได้ ไม่ต้องอาศัยคำเบิกความของพยาน
การกระทำของ ทษช. มีหลักฐานชัดเจน ทำไปโดยรู้สำนึก กรรมการบริหารพรรคทราบดีว่า ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) อีกทั้งยังเป็นพระเชษฐภคินี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) แม้ทรงกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์ แต่ยังเป็นสมาชิกราชจักรีวงศ์
การกระทำของพรรค ทษช. นำสมาชิกพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง มาฝักใฝ่ในทางการเมือง เป็นการกระทำที่วิญญูชนเห็นว่า ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ ต้องถูกนำมาใช้เพื่อความได้เปรียบทางการเมืองอย่างแยบยล ปรากฏผลมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่สนใจพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการสุ่มเสี่ยงสถานะที่ทรงอยู่เหนือการเมือง และดำรงความเป็นกลางทางการเมือง จุดประสงค์เบื้องต้นเพื่อเซาะกร่อน ทำให้อ่อนแอลง เข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตาม พ.ร.บ.พรรคฯ มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) อย่างชัดแจ้ง เนื่องจากระบอบการปกครองของไทย มีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานตั้งแต่ระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์ จนมาถึงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีหมวดพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ จะละเมิดมิได้
จึงมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรค ทษช.
ประเด็นที่สอง กรรมการบริหารพรรค ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ มาตรา 92 วรรคสอง หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 เห็นว่า เมื่อพิจารณาตาม พ.ร.บ.พรรคฯ มาตรา 92 วรรคสอง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคแล้ว จึงชอบด้วยการมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ในวันที่ 8 ก.พ. 2562 อันเป็นวันที่เกิดการกระทำอันเป็นเหตุ ตาม พ.ร.บ.พรรคฯ มาตรา 92 วรรคสอง
แม้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสิทธิทางการเมืองที่สำคัญยิ่งต่อผู้ที่เข้ามาทำงานบ้านเมือง การสมัคร ส.ส. ต้องพิจารณาหลักให้ได้สัดส่วนพอเหมาะ พอควร แม้มีพฤติการณ์ร้ายแรงแก่การกระทำ และโทษที่จะได้รับ เป็นการจำกัดสิทธิของบุคคล
เมื่อพิจารณาของผู้ถูกร้อง การกระทำอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยังไม่ถึงขนาดที่เป็นการกระทำโดยเจตนาล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อีกทั้งการกระทำดังกล่าวเป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติ
เมื่อพิจารณาความสำนึกรับผิดชอบของกรรมการบริหารพรรค ที่น้อมรับพระบรมราชโองการเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมทันทีที่ทราบ เห็นว่า พรรค ทษช. ยังมีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สมควรกำหนดเวลาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค ทษช. กำหนดเวลา 10 ปี นับแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค สอดคล้องกับระยะเวลาตาม พ.ร.บ.พรรคฯ มาตรา 94 วรรคสอง
จึงให้เพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรค ทษช. ที่ดำรงตำแหน่งในวันที่ 8 ก.พ. 2562 อันเป็นวันที่มีการกระทำผิด มีกำหนด 10 ปี มีผลนับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรค ทษช.
สำหรับตุลาการเสียงข้างมาก 6 เสียง เห็นว่า ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคมีกำหนดเวลา 10 ปี ส่วนตุลาการฝ่ายข้างน้อย 3 เสียง เห็นว่า ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคมีกำหนดเวลาตลอดชีพ กรณีนี้จึงถือเอากำหนดเวลา 10 ปี ตามมติของตุลาการเสียงข้างมาก 6 เสียง
ประเด็นที่สาม ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง จะจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคอื่น หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองอื่นได้หรือไม่ ภายในกำหนด10 ปี นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ มาตรา 94 วรรคสอง หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ เห็นว่า ตาม พ.ร.บ.พรรคฯ มาตรา 94 วรรคหนึ่ง บทบัญญัติไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งอย่างอื่น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ดังนั้นกรรมการบริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวในวันที่ 8 ก.พ. 2562 อันเป็นวันที่มีการกระทำความผิด จดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคอื่น หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองอื่นได้หรือไม่ ภายในกำหนด 10 ปี ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ มาตรา 94 ด้วย
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งให้ยุบพรรค ทษช. ตาม พ.ร.บ.พรรคฯ มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) และวรรคสอง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค ทษช. ที่ดำรงตำแหน่งในวันที่ 8 ก.พ. 2562 อันเป็นวันที่กระทำการอันเป็นเหตุให้ยุบพรรค ตาม พ.ร.บ.พรรคฯ มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) และวรรคสอง มีกำหนด 10 ปี และมิให้กรรมการบริหารพรรคจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคอื่น หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองอื่นได้หรือไม่ ภายในกำหนด 10 ปี
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/
อ่านประกอบ :
ศาล รธน.พิพากษายุบพรรค ทษช.-เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง กก.บริหาร 10 ปี
ใครเป็นใคร? กก.บริหาร ทษช.โดนแบน 10 ปี-ปิดฉากผู้สมัคร ส.ส.หลังศาล รธน.สั่งยุบ
ไทม์ไลน์ 1 เดือน ทษช.จาก‘บิ๊กเซอร์ไพรส์’ ว่าที่นายกฯถึงศาล รธน.วินิจฉัย-ร่วงหรือไปต่อ?
'ทษช.' ยื่นศาล รธน.แจง 8 ประเด็น ค้านยุบพรรค ชี้ มติ กกต.ไม่ชอบด้วยกม.
กาง กม.-เปิดไทม์ไลน์ กกต.ชงยุบ ทษช.-ถ้าผิด กก.บริหารปิดฉากการเมืองตลอดชีพ
เปิดครบ! ส.ส.เขต-ปาร์ตี้ลิสต์ ทษช. ก่อนเผชิญวิบากกรรม กกต.ส่งศาล รธน.ยุบพรรค?
มติทางการ กกต.ส่งศาล รธน.วินิจฉัยยุบ ทษช. เหตุกระทำปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย
เหมือนถูกประหารชีวิตทางการเมือง!ทษช. ใช้ความจริงใจแจง กกต.ปมถูกร้องยุบพรรค
สะพัด! ส่งศาล รธน.วินิจฉัยยุบ ทษช.-กกต.ยันยังพิจารณาไม่เสร็จ
กกต.ตั้ง กก.สอบปม ทษช.เสนอแคนดิเดตนายกฯ-เชิญคนนอกร่วม เหตุเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
กกต.ประกาศ69แคนดิเดตนายกฯ ไม่มีพระนาม'ทูลกระหม่อมฯ'เหตุทรงอยู่เหนือการเมือง-ขัด รธน.
ตอนเขียน กม.ไม่มีใครรู้! ‘เรืองไกร’ พร้อมสู้ ทษช.ถูกร้องยุบ-ยื่น‘บิ๊กตู่ ’ขัดคุณสมบัติ
ไทยรักษาชาติโพสต์ยันจุดยืนเดิม เดินหน้าต่อในสนามเลือกตั้ง-ขอบคุณทุกกำลังใจ
ทษช.น้อมรับพระราชโองการสถาบันพระมหากษัตริย์ตามรธน.ด้วยความจงรักภักดี ร.10 -พระราชวงศ์
พระราชโองการฯพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง-นำเกี่ยวข้องขัดราชประเพณี- รธน.
ทษช. เสนอพระนาม 'ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ' บัญชีรายชื่อนายกฯ-บิ๊กตู่ตอบรับ พปชร.
ฟังเหตุผล หัวหน้า ทษช. เสนอพระนาม 'ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ' เป็นนายกฯ
ราชกิจจาฯปี 2515 ประกาศ ลาออกจากฐานันดรศักดิ์ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัลยา
รวมคำราชาศัพท์ที่ใช้กับพระอิสริยยศ ‘ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ’