ที่ดินเชียงใหม่ 2 แปลง คดียึดทรัพย์‘เกษม’ 21 ล. ที่แท้ซื้อจากเมียอภิรักษ์ 11 ล.
เปิดคำพิพากษา เบื้องหลัง ที่ดินเชียงใหม่ 2 แปลงคดี ‘เกษม นิมมลรัตน์’ อดีต ส.ส. ถูกศาลฎีกาฯยึดทรัพย์ 21 ล. ที่แท้ซื้อจากเมียอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม. อ้างไม่รู้จัก จ่ายค่านายหน้า 3 ล. ให้ แมสเซ็นเจอร์ บ.เจ๊แดง หอบเงินสด ซื้อแคชเชียร์เช็ค 11 ล. โอนจากกรุงเทพฯ
15 มิ.ย. 2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเกษม นิมมลรัตน์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย คดีร่ำรวยผิดปกติ 21 ล้านบาท กรณีดำรงตำแหน่งรองนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ สืบเนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดเมื่อปี 2560
ทรัพย์สินที่นายเกษมถูกศาลฎีกาฯพิพากษาให้ยึดตกเป็นของแผ่นดิน 2 รายการ
1. ที่ดิน 2 แปลง ได้แก่ โฉนดเลขที่ 11777 และ ที่ดินโฉนดเลขที่ 11783 ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มูลค่า 11,865,000 บาท
2. เงินลงทุนในการซื้อหุ้นบริษัทแอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่อยู่ในชื่อของนางดวงสุดา นิมมลรัตน์ จำนวน 61,838,310 หุ้น มูลค่าขณะได้มาหุ้นละ 0.15 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 9,275,746.50 บาท (มูลค่าตามราคาตลาด ณ วันที่ซื้อ หุ้นละ 3.34 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 206,539,955.40 บาท )
ล่าสุด 14 ก.ย.2561 ศาลฎีกาฯเผยแพร่คำพิพากษาฉบับเต็ม สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงสาระสำคัญ เฉพาะกรณีที่ดิน 2 แปลงมา รายงาน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ที่ดินของผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเพิ่มขึ้น 2 แปลง ในระหว่างดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ คือ โฉนดเลขที่ 11777 และ ที่ดินโฉนดเลขที่ 11783 ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือไม่
@ซื้อที่ดินจาก ‘ปฏิมา โกษะโยธิน’
เห็นว่า คณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ได้ตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหาและนางดวงสุดา นิมมลรัตน์ (ภรรยานายเกษม) พบความเปลี่ยนแปลงโดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น คือที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว จึงตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการได้มาของที่ดินทั้งสองแปลงจากสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาแม่ริม พบว่า นางปฏิมา โกษะโยธิน ขายที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โดยทำสัญญาซื้อขายกันในราคา 7,000,000 บาท ซึ่งที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวมีราคาประเมินรวมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม 7,914,000 บาท
@ผู้ขายเบิกความไม่รู้จักกัน-ทำผ่านนายหน้า
นางปฏิมาเบิกความ ในชั้นไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและให้ถ้อยคำ ต่อคณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินได้ความว่า นางปฏิมาไม่เคยรู้จักกับผู้ถูกกล่าวหามาก่อน เพิ่งทราบว่าผู้ถูกกล่าวหามีตำแหน่งทางการเมืองหลังจากอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรียกไปสอบถาม
ในการซื้อขายที่ดิน ผู้ถูกกล่าวหา จ่ายเงินค่าที่ดินเป็นแคชเชียร์เช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนแจ้งวัฒนะ เลขที่ 016 05051 ลงวันที่ 26 ธ.ค.2557 จำนวน 11,000,000 บาท และจ่ายเป็นเงินสดในวันโอนอีก 865,000 บาท โดยนางปฏิมาเป็นผู้ชำระเงินค่าธรรมเนียม ค่าภาษีการโอนที่ดินทั้งสองแปลง และมอบเงินให้ผู้ถูกกล่าวหา ไปชำระค่านายหน้าประมาณ 3,000,000 บาท
@สาวแบงก์ให้การลูกค้า ชื่อ ‘ยุทธศาสตร์’ ซื้อแคชเชียร์เช็ค 2 รอบ
อนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนแจ้งวัฒนะ โดย น.ส. วาสนา ไก่แก้ว (ผู้ช่วยผู้จัดการ) และคณะ พบว่า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2557 นายยุทธศาสตร์ แก้วลาย ได้นำเงินสด 5,932,500 บาท มาขอซื้อแคชเชียร์เช็คเลขที่ 0160518 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2557 สั่งจ่ายนางปฏิมา
ต่อมาในวันที่ 26 ธ.ค.2557 นายยุทธศาสตร์มาขอคืนเงินตามแคชเชียร์เช็คดังกล่าวและได้นำเงินอีก 5,068,000 บาท มาเพื่อขอซื้อแคชเชียร์เช็คเลขที่ 01605051 ลงวันที่ 26 ธ.ค.2557 มูลค่า 11,000,000 บาท (ที่ถูก 11,000,500 บาท) สั่งจ่ายนางปฏิมา
@ คนหิ้วเงิน 11 ล. ซื้อแคชเชียร์เช็ค ที่แท้ แมสเซ็นเจอร์ บ.เยาวภา
น.ส.วาสนาให้ข้อมูลว่า นายยุทธศาสตร์เป็นลูกค้าที่มาทำธุรกรรมที่ธนาคารฯ บ่อยครั้ง โดยเป็นพนักงานรับส่งเอกสารบริษัทของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แต่จำชื่อบริษัทไม่ได้ เจ้าหน้าที่ธนาคารผู้ทำรายการแคชเชียร์เช็ค คือ น.ส. มัทรียา สุขเรือน และ น.ส. วิไลวรรณ ราญมีชัย โดยมี น.ส.จิระภา จันทร์แก้ว เป็นผู้ลงนามในแคชเชียร์เช็คทั้งสองฉบับดังกล่าว ธนาคารได้รายงานข้อมูลการทำธุรกรรมดังกล่าวให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทราบตามแบบที่กำหนดแล้ว ทั้งนี้นายยุทธศาสตร์จะมาทำธุรกรรมทางการเงินที่ธนาคารฯ บ่อยครั้ง โดยเป็นผู้รับมอบอำนาจจาก คนในตระกูลวงศ์สวัสดิ์ให้มาทำธุรกรรมแทน
@ ป.ป.ช.เรียกสอบ แต่เบี้ยวหลายครั้ง
คณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน จึงมีหนังสือเชิญนายยุทธศาสตร์ มาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับการซื้อแคชเชียร์เช็คที่นำมาชำระราคาที่ดิน ทั้งสองแปลงดังกล่าวหลายครั้ง นายยุทธศาสตร์เพียงทำหนังสือขอเลื่อนการให้ถ้อยคำเท่านั้น แต่ไม่เคยมาให้ถ้อยคำ ต่อคณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินแต่อย่างใด จึงทำ การตรวจสอบประวัติการทำงานของนายยุทธศาสตร์จากระบบประกันสังคมแล้วพบว่า
@สอบพบทำงานเข้า-ออก บ.ลูกเจ๊แดง
เมื่อปี 2551 นายยุทธศาสตร์เคยทำงานที่บริษัทชายา คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 73 อาคารเอ็มลิ้งค์ ชั้น 5 ซอยสุขุมวิท 62 ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร
ต่อมาปี 2553 จึงลาออก และเข้าทำงานที่บริษัทเฟอร์รั่ม จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่เลขที่ 73 อาคารเอ็มลิ้งค์ ชั้น 1 ซอยสุขุมวิท 62 ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร
และต่อมาปี 2556 ลาออกและเข้าทำงานที่บริษัท ยานัท จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 222 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร มีคณะกรรมการบริษัทประกอบด้วย 1. นายชาคริต เฉลิมวัฒน์ 2. นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และ 3.น.ส.นันทกานต์ ศิลป์เสวีกุล
และต่อมาเมื่อวันที่ 29 ก.พ.2559 จึงลาออกจาก บริษัท ยานัท จำกัด
@ไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเกษม -พิรุธอยู่เชียงใหม่แต่ทำธุรกรรมที่กรุงเทพฯ
ข้อเท็จจริงตามสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ศาลใช้เป็นหลัก ในการพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานว่า นายยุทธศาสตร์เป็นลูกจ้างหรือมีความสัมพันธ์อย่างหนึ่งอย่างใด กับผู้ถูกกล่าวหาถึงขนาดที่จะรับมอบเงินนับสิบล้านบาทจากผู้ถูกกล่าวหาเพื่อไปซื้อแคชเชียร์เช็ค ในการชำระค่าที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว ทั้งนายยุทธศาสตร์ ก็มิได้มีฐานะและความจำเป็นใด ที่จะต้องซื้อที่ดินให้ผู้ถูกกล่าวหา
นอกจากนี้ที่ดินทั้งสองแปลงตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ถูกกล่าวหา และนางดวงสุดามีภูมิลำเนาที่จังหวัดเชียงใหม่ มีเงินฝากธนาคารในจังหวัดเชียงใหม่หลายบัญชี การมอบเงินให้ไปซื้อแคชเชียร์เช็คที่กรุงเทพมหานครแล้วนำกลับมาซื้อที่ดินที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นพิรุธ
@ ยื่นเสียภาษี มีรายได้ไม่ถึงล้าน
ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงการได้มาของที่ดินว่า ซื้อมาในราคา 7,000,000 บาท โดยนำเงินจาก การขายหุ้นและเงินที่ใช้หมุนเวียนในครอบครัวมาซื้อ แต่เมื่อตรวจสอบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาของผู้ถูกกล่าวหา พบว่า
ปีภาษี 2556 มีรายได้ 817,566.71 บาท
ปีภาษี 2557 มีรายได้ 666,480 บาท
และนางดวงสุดา ปีภาษี 2556 มีรายได้ 1,370,212.13 บาท ปีภาษี 2557 มีรายได้ 1,157,993.44 บาท ซึ่งไม่เพียงพอที่จะซื้อที่ดินทั้งสองแปลง
นอกจากนี้ ก็ไม่ปรากฏหลักฐานใดที่จะเชื่อมโยงว่า มีการเบิกถอนเงินจากบัญชีธนาคารของผู้ถูกกล่าวหา และนางดวงสุดาแล้วมอบเงินให้นายยุทธศาสตร์ ไปซื้อแคชเชียร์เช็คเพื่อนำมาชำระราคาที่ดิน ในส่วนของการชำระเงินค่าซื้อที่ดินทั้งสองแปลง จึงไม่ปรากฏเส้นทางการเงินจากผู้ถูกกล่าวหาเช่นเดียวกัน
จึงรับฟังได้ว่า ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติในระหว่าง ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่
สำหรับนางปฏิมา โกษะโยธิน เป็นภรรยา นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ 16 มี.ค.2560 นายเกษมถูกศาลฎีกาฯพิพากษายึดทรัพย์สิน 7 รายการ มูลค่า 168,453,245.70 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน และ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ จำคุกเป็นเวลา 1 ปี
อ่านประกอบ:
เปิดตัว บ.ลูกเจ๊แดง! ตามรอยเงินสด 11 ล. หิ้วซื้อที่ดินแทน 'เกษม' ใครเจ้าของตัวจริง?
พนง.บ.ลูก‘เจ๊แดง’คนจ่ายค่าที่ดิน! เปิดคำพิพากษาคดียึดทรัพย์‘เกษม’ 21 ล.
'เกษม'ไม่รอด! ศาลฎีกาฯพิพากษายึดทรัพย์อีก 21 ล.คดีรวยผิดปกติ
ศาลฎีกาฯเปิดคำพิพากษาฉบับเต็มคดียึดทรัพย์‘เกษม’168 ล. -ชื่อ 3 บิ๊กธุรกิจโผล่
“เมียอภิรักษ์”โผล่ถือหุ้นบ.ส่งออกอาหาร 3 ล.-ขายที่ดินเชียงใหม่ 6 ล.