แนะถอดบทเรียนดูแล "คนกลับบ้าน" อย่าให้ซ้ำรอย "สุคิริน"
ในที่สุดก็จบลงอย่างชื่นมื่น สำหรับกระแสคัดค้านโครงการของกองทัพภาคที่ 4 ที่จะไปจัดตั้ง "หมู่บ้าน" และจัดสรรที่ดินทำกินให้กับ "กลุ่มผู้หลงผิด" ที่เข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน โดยจะใช้พื้นที่รอบๆ 3 หมู่บ้านใน อ.สุคิริน จ.นราธิวาส หลังจากแม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ไปปลดชนวนขัดแย้งด้วยตนเอง
ชาวบ้านใน อ.สุคิริน ไปรวมตัวกันที่วัดลีนานนท์ ต.สุคิริน ตั้งแต่เมื่อวันพุธที่ 9 พ.ค.61 เพื่อประชุมหารือและเขียนป้ายแสดงจุดยืนคัดค้านโครงการตั้งหมู่บ้านรองรับผู้หลงผิดของกองทัพภาคที่ 4 โดยการรวมตัวเริ่มจากหลักร้อยคน ไปจนถึงกว่า 1,000 คนในช่วงค่ำ ต่อเนื่องถึงช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 10 พ.ค. โดยมีทั้งชาวบ้านไทยพุทธ พี่น้องมุสลิม และพระมาร่วมตั้งวงพูดคุยเพื่อหาทางออก
กระทั่งช่วงสาย พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เดินทางไปพบและหารือกับชาวบ้านด้วยตนเอง จากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะไม่ยอมเดินทางไป และจะส่งรองแม่ทัพไปแทน ผลจากการพูดคุยสรุปว่าแม่ทัพภาคที่ 4 รับปากจะไม่ย้ายผู้ที่เข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน เข้าไปอยู่ในพื้นที่ อ.สุคิริน และจะหาพื้นที่อื่นทดแทนต่อไป
"โครงการที่จะพาผู้หลงผิดเข้ามาตั้งหมู่บ้านนั้น เป็นเพียงแค่แนวความคิด ชาวบ้านที่มารวมตัวพูดคุยกันนี้ มาจากกระแสหลายกระแสที่ส่งไปในโลกโซเชียลมีเดีย ส่งไปในไลน์ ทำให้ชาวบ้านไม่เข้าใจ ซึ่งถ้าหากชาวบ้านไม่เข้าใจอยู่แบบนี้ เราก็ต้องมาพูดคุย เมื่อคุยกันชาวบ้านเข้าใจแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้เรียนแล้วว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ทุกคนมีหน้าที่ดูแลประชาชน ดูแลชาวบ้าน ที่เราอยู่มาทุกวันนี้ได้ก็เพราะภาษีของประชาชน เราก็ต้องดูแลประชาชน สิ่งใดที่ประชาชนไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ รู้สึกไม่ยุติธรรม เราก็ไม่ทำ"
"เราก็คุยกับชาวบ้านเรียบร้อยแล้ว ซึ่งชาวบ้านไม่มีความต้องการ ไม่มีความประสงค์ ทางกองทัพภาคที่ 4 ก็ไม่ทำ ทางกองทัพก็จะไปดูสถานที่อื่นว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าที่อื่นเขาไม่ยอม เราก็ไม่ทำ ก็จบไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุยกับชาวบ้านวันนี้ก็ได้ข้อสรุปข้อยุติหมดแล้ว ถือว่าเราจะไม่มีการพาคนกลับบ้านมาที่นี่ ที่บ้านลีนานนท์ก็จะอยู่เหมือนเดิม ทุกคนก็จะใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าที่ของตนเองต่อไปเหมือนเดิม" เป็นคำมั่นสัญญาจากแม่ทัพภาคที่ 4
ท่าทีของแม่ทัพทำให้ชาวบ้านพากันดีใจ จากนั้นได้รับประทานอาหารร่วมกัน เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน บางคนก็ไปทำงาน ทำสวน ทำไร่
นูรี บินดอเลาะ อายุ 27 ปี ชาวบ้านบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 บอกว่า ขอขอบคุณแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ไม่ได้นำคนจากโครงการพาคนกลับบ้านมาไว้ในหมู่บ้านของพวกเรา เพราะว่าตอนนี้หมู่บ้านของเราเดือดร้อนมากพออยู่แล้ว เด็กๆ วัยรุ่นก็หลงผิดมากพอแล้ว สำหรับความต้องการหลังจากนี้ก็อยากให้หน่วยงานภาครัฐมาสนับสนุนเรื่องการท่องเที่ยวและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอ เพราะหลายจุดยังสร้างไม่เสร็จ หากเป็นไปได้อยากให้มีงบประมาณมาลงเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
"อยากให้สุคิรินเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อยากให้หมู่บ้านเจริญ อยากให้ อ.สุคิรินเจริญ อยากให้คนในหมู่บ้านมีรายได้มากขึ้น หากมีแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้นหรือเปิดใหม่เพิ่มขึ้น ก็อยากให้ทุกคนมาช่วยกันเที่ยวที่สุคิริน" นูรี กล่าว
จากปัญหาความขัดแย้งที่เกือบจะบานปลายจากการดำเนินนโยบายของฝ่ายความมั่นคง ถือเป็นบทเรียนหนึ่งที่น่าศึกษาและเก็บเป็นประสบการณ์
พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่แม่ทัพยอมถอย เพราะการจะทำอะไรในพื้นที่แล้วถูกประชาชนต่อต้าน ก็ไม่ควรดึงดันต่อไป
"ข้อมูลการข่าวเป็นเรื่องสำคัญมาก คนกลุ่มนี้ (ที่เข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้านและกองทัพต้องการตั้งหมู่บ้านรองรับที่ อ.สุคิริน) ออกไปอยู่มาเลเซียนานแล้ว เขาพยายามกลับมา เขาก็เรียกร้อง ผมเคยไปพบกับแกนนำใหญ่ๆ ที่พำนักในต่างประเทศ พวกนี้เป็นกลุ่มพูโล อยากจะขอที่ดินให้พวกของเขา เรามองว่าถ้าเรามอบที่ดินให้ไป ต้องพิจารณาต่อว่ามีคนออกไปอยู่มาเลย์มากน้อยขนาดไหน แล้วเราต้องให้ที่ดินทั้งหมดหรือ แล้วคนที่อยู่ในพื้นที่กับเรา ต่อสู้มากับเรา เสร็จแล้วก็ไม่ได้อะไร มันจะดีหรือเปล่า"
"กลุ่มต่างๆ พวกนี้เป็นกลุ่มที่เลิกต่อต้านรัฐแล้ว เลิกต่อต้านมานานแล้วด้วย เพราะผมได้เจอกับ ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน (ประธานเบอร์ซาตู องค์กรร่มของขบวนการแบ่งแยกดินแดนหลายกลุ่ม ปัจจุบันสลายไปแล้ว) ท่านก็บอกว่าคนที่จะมาต่อต้านรัฐและแบ่งแยกดินแดนมันเป็นไปไม่ได้แล้วในสังคมโลกตอนนี้ กลุ่มพวกนี้อยากจะได้ชีวิตฟื้นกลับคืนมา โดยจะกลับมาอยู่ที่นี่ แต่จริงๆ เขาก็มีญาติพี่น้องอยู่ ทำไมไม่ส่งเขากลับภูมิลำเนา เพราะการจัดพื้นที่ให้อยู่ใหม่ ทำให้ชุมชนที่อยู่เดิมไม่มั่นใจ เพราะไม่รู้จักกัน เอาคนต่างถิ่นต่างพื้นที่มาอยู่ นโยบายแบบนี้กระเพื่อมมาตั้งแต่ 1-2 ปีมาแล้ว ที่พาคนกลับบ้าน 500 คน ก็เกิดปัญหาอยู่แล้ว ต้องถือเป็นประสบการณ์ การจะทำอย่างนี้ต่อไปก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คนที่อยู่ในพื้นที่ก็ลำบากใจเหมือนกันที่ต้องมาอยู่ร่วมกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย"
พล.อ.เอกชัย ยังเสนอว่า ถ้ารัฐบาลมีนโยบายให้คนที่เข้าโครงการพาคนกลับบ้าน กลับไปอยู่ในภูมิลำเนาของตนเอง ก็ควรมุ่งเน้นการพัฒนามากกว่า พัฒนาทำให้เกิดอาชีพ ทำให้พื้นที่นั้นๆ เป็นแหล่งทำมาหากิน แต่ช่วงที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายลักษณะนี้น้อยเกินไป ส่วนใหญ่เน้นปฏิบัติการทางทหาร ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน ฉะนั้นจึงอยากฝากให้นำกรณีสุคิรินเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยอีก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ
2 แม่ทัพภาคที่ 4
3 การรวมตัวคัดค้านของชาวสุคิริน
อ่านประกอบ :
ชาวสุคิรินฮือต้าน "ผู้เห็นต่าง" ตั้งหมู่บ้านในพื้นที่
แม่ทัพ4 ลั่นไร้เสียงค้านตั้งหมู่บ้านรับผู้หลงผิดที่สุคิริน ยันไม่ใช่อดีตโจร
"ลุงวิโรจน์"คนสุคิรินเต็มขั้น ขอคัดค้าน"คนกลับบ้าน"ร่วมชายคา
เตือน "สุคิริน" ส่อซ้ำรอย "หมู่บ้านป่าแหว่ง"
บิ๊กทัพ 4 เตรียมลงพื้นที่เคลียร์ชาวสุคิริน กระแสต้านลามหลายหมู่บ้าน
ชาวสุคิรินนัดแสดงพลัง พร้อมฟังเหตุผลทหาร
ทหารแจงปมสุคิริน แม่ทัพเมินลงพื้นที่ ย้อนถามจะค้านทำไม ยังไม่ได้เริ่มสร้าง
เปิดตัวเลข "คนกลับบ้าน" ผู้เห็นต่างมีหมาย 288 - กลุ่มหนีนอกประเทศ 228
เจาะมุมมอง "อกนิษฐ์" ตั้งหมู่บ้านผู้หลงผิด คนละเรื่องกับโจรจีนฯ