ผู้เชี่ยวชาญเตือนอีก10 ปีโลกจะเผชิญวิกฤติผู้อพยพครั้งใหญ่จากภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง
ผู้เชี่ยวชาญเตือนอีกสิบปีข้างหน้า โลกจะเผชิญวิกฤติผู้อพยพร้ายแรงที่สุดจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง เรียกร้องผู้นำโลกยอมรับในกรอบข้อตลงทางกฎหมายเพื่อรักษาสิ่งสำคัญ และเร่งให้ทุกประเทศปฏิบัติตามข้อตกลงปารีส
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ย.60 ที่ผ่านมา เว็บไซต์เดอะการ์เดี้ยนได้เผยแพร่โดยอ้างรายงานฉบับล่าสุดของมูลนิธิยุติธรรมสิ่งแวดล้อม หรือ Environmental Justice Foundation (EJF) ที่ระบุว่า ในอีกสิบปีข้างหน้า คนกว่าสิบล้านคนทั่วโลกจะต้องกลายเป็นผู้อพยพ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ คาดว่าจะเป็นวิกฤติผู้อพยพครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา
เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของกองทัพสหรัฐฯและผู้เชี่ยวชาญด้านความั่นคง ได้กล่าวกับ EJF ซึ่งศึกษาในประเด็นผู้อพยพจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยพบว่า จำนวนผู้อพยพจะมากกว่าผู้อพยพสงครามในซีเรีย ซึ่งนั่นจะเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของยุโรป
นายพลจัตวา Stephen Cheney อดีตนายทหารประจำกองทัพสหรัฐฯ กล่าวว่า หากยุโรปคิดว่าวันนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้อพยพ รออีก20 ปี เมื่อสภาวะอากาศโลกเปลี่ยนแปลงสุดขั้วจนกระทั่งดึงคนแอฟริกา และพื้นที่ในทะเลยทรายซาฮาร่าให้อพยพออกจากบ้านเกิดตัวเอง ซึ่งที่เรากำลังพูดกันวันนี้ไม่ใช่คนแค่1-2 ล้านคน แต่คือจำนวน 10-20 ล้านคน พวกเขาเหล่านี้จะไม่เดินทางไปยังแอฟริกาใต้ แต่จะเลือกข้ามทะเลเมดิเตอร์ริเนียนมายังยุโรป
ผลการศึกษาซึ่งออกเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับในข้อตกลงในกรอบกฎหมายฉบับใหม่เพื่อปกป้องผู้อพยพจากสภาวะอากาศโลก นอกจากนี้ในการประชุมสุดยอดผู้นำเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศที่เยอรมันนีในสัปดาห์หน้า ได้เรียกร้องให้ผู้นำเร่งจัดการลงมือในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายในข้อตกลงปารีส
เซอร์เดวิด คิง อดีตที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ประจำรัฐบาลสหราชอาณาจักร กล่าวกับทาง EJF ว่า สิ่งที่เรากำลังคุยกันวันนี้คือภาวะของความเป็นปัจเจกหรือ อัตถิภาวนิยม (existential) ที่กำลังก่อให้เกิดผลร้ายต่อสังคมในระยะยาว ในช่วงระยะสั้นนี้ กำลังนำมาซึ่งความเสี่ยง และเราต้องการความร่วมมือในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในรายงานฉบับนี้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามในซีเรีย ซึ่งสร้างกลุ่มผู้อพยพกว่า 1.5 ล้านคน ตลอดช่วงปี 2006 และ 2011 ผู้คนจำนวนนี้เข้าไม่ถึงอาหาร น้ำและงาน
Steve Trent กรรมการบริหาร EJF กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งมีส่วนที่จะเป็นชนวนสำคัญที่จะส่งผลต่อสังคม เศรษฐกิจและความตึงเครียดทางการเมือง
“ในภาวะที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีพลังมากพอที่จะสร้างความขัดแย้งครั้งใหญ่และสร้างวิกฤติผู้อพยพแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นสิ่งที่ต้องการในวันนี้อย่างเร่งด่วนคือเหล่านักกำหนดนโยบายและผู้นำทางด้านเศรษฐกิจต้องรีบพิจารณา"
แม้ว่ารายงานฉบับนี้จะพยายามเน้นไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนในอแฟริกาและตะวันออกกลางก็ตาม แต่การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกนั้นจะยังก่อให้เกิดผลกระทบในรูปแบบใกล้เคียงกัน เช่น พายุเฮอริเคนที่พัดถล่มสหรัฐฯในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าแม้จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วก็ไม่สามารถรอดพ้นที่ต้องเผชิญกับภาวะการเปลี่ยนแปลงนี้
Trent กล่าวย้ำว่า ถึงแม้ผลกระทบที่ก่อให้เกิดสภาวะนี้จะมาจากการกระทำในเชิงปัจเจก แต่ก็ยังไม่สายที่จะลุกขึ้นมาจัดการ
“การจะไปถึงเป้าหมายนี้ได้ เราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างมาตรการ เครื่องมือทางกฎหมายร่วมกันเพื่อปกป้องผู้อพยพจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง เราจะปกป้องกลุ่มคนจนและสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังคมของเรา สร้างความยืดหยุ่น เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มหาศาลทางเศรษฐกิจและสร้างอนาคตที่ปลอดภัยเพื่อโลกของเรา เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถรอได้ บางครั้งพรุ่งนี้อาจสายไปด้วยซ้ำ” Trent กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยในสหรัฐฯพบว่าเมื่อรัฐลงทุนในพลังงานสะอาด ช่วยลดรายจ่ายหลักพันล้านเหรียญ
ไม่สนโลกร้อน 'ทรัมป์' ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงปารีส
ตามดูปฏิกิริยา ผู้นำทั่วโลก หลังทรัมป์หันหลังให้แผนลดโลกร้อน
บลูมเบิร์กควักเงินเข้ากองทุนแก้โลกร้อน-นิคารากัวเดินหน้าสู่ยุคพลังงานสะอาด