นักวิชาการจี้รัฐแก้ กม.สิทธิบัตร-ถอนกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด
ไบโอไทยจับมือเครือข่ายวิชาการเสนอยกกระท่อมออกจากยาเสพติด เบิกทางงานวิจัยให้กว้าง พร้อมยกหลักฐานโต้ นักวิจัยญี่ปุ่นยื่นขอสิทธิบัตรกระท่อมทั่วโลกรวมไทย ชี้รัฐต้องค้านและแก้กฎหมายแสดงที่มา แบ่งปันผลประโยชน์
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 ณ ห้องประชุม Peridot 3 โรงแรมริชมอนด์ มูลนิธิชีววิถี(BIOTHAI) ร่วมกับศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จุฬาฯ แถลง"สิทธิบัตรกระท่อม : วิเคราะห์ผลกระทบและข้อเสนอทางนโยบาย” กรณีการจดสิทธิบัตรกระท่อมของกลุ่มนักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น
นายวีระพงษ์ เกรียงสินยศ เลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวว่า มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นการใช้กระท่อมในภูมิปัญญาของไทยว่ามีมาแต่ช้านาน โดยปรากฏเป็นหลักฐาน จารึกวัดโพธิ์ จารึกวัดราชโอรสาราม และตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง (สมัยร.5) มีมากกว่า 16 ตำรับไม่นับตำรับยาชุมชน และยังบันทึกอยู่ในวรรณคดีขุนช้าง-ขุนแผน ตอนขุนแผนเดินทัพด้วย
"น่าเสียดายที่กระท่อมถูกจัดอยู่ในบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ทำให้ในช่วงหลังเราแทบจะไม่มีการนำเอาใบกระท่อมมาใช้งานในเชิงยาเลย"นายวีระพงษ์ กล่าว และว่า การจดสิทธิบัตรจึงเป็นการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรชีวภาพอย่างชัดเจน ทั้งนี้ไม่รวมถึงหลักฐานอื่นๆ ที่นักวิจัยกลุ่มดังกล่าวได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยในการวิจัยกระท่อมมานานนับตั้งแต่ปี 2006
ด้าน รศ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ศูนย์วิจัยและปฏิบัติการเภสัชศาสตร์สังคม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการศึกษาสิทธิบัตรของญี่ปุ่นทั้ง 3 สิทธิบัตรปรากฎว่ามีข้อถือสิทธิ์ครอบคลุมอนุพันธ์จากสารสกัดใบกระท่อมคือ มิตราไจนีน (Mitragynine) และเซ่เว่นไฮดรอกซี่มิตราไจนีน(7-Hydroxymitragynine) เป็นจำนวนมาก การนำสารดังกล่าวเป็นยารักษาอาการปวด ในรูปแบบต่างๆอย่างกว้างขวางซึ่งจะกระทบกับการนำใบกระท่อมไปพัฒนาต่อไปในอนาคต ตัดโอกาสในการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับการสร้างประเทศไทย 4.0 ตามที่รัฐบาลได้ประกาศ
ผศ.สมชาย รัตนชื่อสกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวถึงทางออกในการแก้ปัญหากรณีดังกล่าวว่า สามารถดำเนินการใน 4 ประการ คือ หนึ่ง ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาพิจารณาว่าคำขอสิทธิบัตรดังกล่าวมีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงกว่าจริงหรือไม่เพราะอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นและอนุพันธ์ดังกล่าวอาจมีอยู่แล้วในกลุ่มสารอัลคาลอยด์จากใบกระท่อม สองให้นำกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช มาตรา 52 ซึ่งระบุให้นักวิจัยต้องขออนญาตและแบ่งปันผลประโยชน์เพื่อปฏิเสธการขอสิทธิบัตรในประเทศไทยหากไม่ดำเนินการโดยชอบตามกฎหมาย สามต้องพัฒนาระบบกฎหมายการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพ เพราะมีช่องโหว่อยู่ในกฎหมายไทย และสี่สำคัญที่สุดคือกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตร ให้แสดงที่มาของทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นธรรมตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ดังที่ประเทศต่างๆแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น นอรเวย์ สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น ได้แก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรในประเทศของตน
ทั้งนี้นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ กล่าวว่าภายในสัปดาห์นี้ ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จะประสานงานเครือข่ายทางวิชาการและองค์กรภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องเพื่อไปยื่นหนังสือต่อรัฐบาลให้มีการยกเลิกการจัดประเภทกระท่อมให้เป็นสารเสพติดตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 เพื่อให้สามารถปลูก มีไว้ครอบครองเพื่อใช้ประโยชน์ทางยา และงานวิจัย เสนอให้รัฐบาลเพิกถอนสิทธิบัตรและยับยั้งสิทธิบัตรซึ่งได้มาจากทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งไม่เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่เป็นภาคีในอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ ให้มีการแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรของไทยเพื่อปกป้องผลประโยชน์ที่ชอบธรรมของประเทศตามคำเสนอของนักกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้รัฐบาลต้องไม่ไปเข้าร่วมความตกลงการค้าระหว่างประเทศที่ทำให้ประเทศต้องยอมรับระบบกฎหมายสิทธิบัตรตามแบบแผนของสหรัฐใน TPPรวมทั้งต้องระวังประเด็นเดียวกันนี้ที่ญี่ปุ่นอาจผลักดันผ่านความตกลง RCEP ด้วย
อ่านประกอบ
ญี่ปุ่นยื่นจดสิทธิบัตรใบกระท่อม นักวิจัยทีดีอาร์ไอ ชี้ไทยไร้กม.คุ้มครองทรัพยากรชีวภาพ