ศาลชั้นต้นยกฟ้อง!ศึกสายเลือด "เหตระกูล" คดีเปลี่ยนชื่อ บก.เดลินิวส์
ศึกสายเลือด "เหตระกูล" คดีเปลี่ยนชื่อ บก.เดลินิวส์จบยกแรก ศาลชั้นต้นยกฟ้อง! ชี้กรณีนำบัตรปชช.ไปใช้ไม่ขออนุญาต ไม่ใช่หลักฐานพิสูจน์แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
กรณี นางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางประพิณ รุจิรงศ์ เป็นจำเลยที่ 1 นางสาวผวราภรณ์ ปุ้ยพันธวงศ์ จำเลยที่ 2 และนายกิตติพันธ์ุ เหตระกูล จำเลยที่ 3 โดยกล่าวหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานทะเบียนหอสมุดแห่งชาติ ให้จดข้อความอันเป็นเท็จ คือ เปลี่ยนรายชื่อเจ้าของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์จากเดิม คือ นายประสิทธิ์ เหตระกูล ไปแจ้งเปลี่ยนเป็นนายกิตติพันธ์ เหตระกูล และแจ้งเปลี่ยนชื่อบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ จากนางประภา เหตระกูล เปลี่ยนเป็น นายอภิชัย รุ่งเรืองกุล
(อ่านประกอบ: ศาลรับคำฟ้องศึกสายเลือด "เหตระกูล" กรณีจดแจ้งเปลี่ยนชื่อ "บก.เดลินิวส์", เปิดละเอียด! คำฟ้องศึกสายเลือด "เหตระกูล" คดีเปลี่ยนชื่อ บก.เดลินิวส์)
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2558 ศาลแขวงดุสิต มีคำพิพากษา ยกฟ้องคดีนี้ โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบและไม่โต้แย้งกันรับฟังได้เบื้องต้นว่า บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท จำกัด มีโจทก์และจำเลยทั้งสามเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการ บริษัทเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2557 นางประพิณ รุจิรงศ์ เป็นจำเลยที่ 1 นางสาวผวราภรณ์ ปุ้ยพันธวงศ์ จำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการบริษัทร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัทมอบอำนาจให้ นายกิตติพันธ์ุ เหตระกูล จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ต่อมาวันที่ 27 มิ.ย.2557 นายกิตติพันธ์ุ เหตระกูล จำเลยที่ 3 ยื่นแบบจดแจ้งการพิมพ์ เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกรายการหลักฐานแสดงข้อความว่า ตนได้รับมอบอำนาจจากบริษัทขอเปลี่ยนแปลงเจ้าของบริษัท จากนายประสิทธิ์ เหตระกูล เป็นบริษัท
โดยนายกิตติพันธ์ุ เหตระกูล จำเลยที่ 3 เปลี่ยนแปลงผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา และบรรณาธิการจาก นางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด โจทก์ เป็น นายอภิชัย รุ่งเรืองกุล พร้อมนำส่งหนังสือมอบอำนาจ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านของโจทก์ และนายประสิทธิ์ พร้อมด้วยสำเนารายงานการประชุมที่เกี่ยวข้อง เป็นเอกสารประกอบการขอเปลี่ยนแปลงรายการจดแจ้งการพิมพ์ และออกหนังสือสำคัญเพื่อแสดงว่าบริษัทโดยจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของ นสพ.เดลินิวส์ และนายอภิชัย เป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา และบรรณาธิการ
ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันแจ้งข้อความเปลี่ยนตัวเจ้าของหนังสือพิมพ์จากบริษัทโดยนายประสิทธิ์ เป็นบริษัท โดยจำเลยที่ 3 เปลี่ยนแปลงผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาและบรรณาธิการจากโจทก์เป็นนายอภิชัย ตามสำเนาแบบจดแจ้งการพิมพ์ เปลี่ยนแปลง และส่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ และนายประสิทธิ์ โดยไม่ได้รับอนุญาต
ความจริง บริษัทไม่ได้มีมติเปลี่ยนแปลงเจ้าของหนังสือพิมพ์ และที่ประชุมคณะกรรมการมีมติแต่งตั้งนายอภิชัย เป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา และบรรณาธิการ โดยไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการสรรหาผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาและบรรณาธิการตามสำเนารายการการประชุมผู้ถือหุ้น เป็นเหตุให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดแจ้งการพิมพ์สำหรับจังหวัดกรุงเทพฯ จดข้อความอันเป็นเท็จว่า บริษัท โดยจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์และนายอภิชัยเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาและบรรณาธิการ ตามสำเนาหนังสือสำคัญการจดแจ้งการพิมพ์เอกสารหมาย จ.8
ขณะที่กฎหมายบัญญัติว่า ผู้ยื่นจดแจ้งการพิมพ์หนังสือพิมพ์ต้องยื่นแบบการจดแจ้งการพิมพ์และหลักฐานและแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงรายการในหลักฐานการจดแจ้งภายใน 30 วัน นับแต่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงรายการดังกล่าว
ข้อนี้ โจทก์เบิกความยอมรับว่า ร่วมประชุมคณะกรรมการดังกล่าว ที่ประชุมมีมติด้วยคะแนนเสียง 8 คน จากผู้เข้าร่วมทั้งหมด 11 คน ถือเป็นมติเสียงข้างมาก ให้นายอภิชัย เป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาและบรรณาธิการ และข้อบังคับของบริษัท ไม่มีข้อบังคับให้การเปลี่ยนผู้พิมพ์ผู้โฆษณาและบรรณาธิการต้องแจ้งให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นทราบก่อน และการแต่งตั้งโยกย้ายหรือเปลี่ยนผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาและบรรณาธิการเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าคณะกรรมการมีมติแต่งตั้งให้นายอภิชัย เป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาและบรรณาธิการ ข้อความที่เปลี่ยนแปลงผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา และบรรณาธิการจากโจทก์เป็นนายอภิชัยจึงไม่เป็นความเท็จ
ส่วนที่โจทก์อ้างว่า นายอภิชัยยังไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการสรรหา นั้น เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสาม หรือคณะกรรมการเสียงข้างมากอาจต้องรับผิดชอบหากมีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นต่อผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับวิธีการจัดการบริษัท
ดังนั้น จำเลยที่ 1 และ 2 ในฐานะกรรมการลงลายมือชื่อ ร่วมกันและประทับตราสำคัญ ของบริษัท ย่อมมีอำนาจดำเนินการตามมติคณะกรรมการ และข้อความที่แสดงรายละเอียดว่าบริษัท โดยนายประสิทธิ์ เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ แตกต่างจากข้อความใหม่ที่แสดงว่า บริษัท โดยจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ นั้น ไม่ได้เป็นสาระสำคัญถึงขนาดกระทบสถานะความเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ของบริษัทที่เป็นนิติบุคคล
เพราะนายประสิทธิ์ ไม่ได้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์และบริษัทยังเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ดังเดิม ข้อแตกต่างดังกล่าว เป็นเพียงรายละเอียด จำเลยทั้งสามไม่ได้มีเจตนาเปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์
ส่วนที่โจทก์อ้างว่า จำเลยทั้งสามสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์และนายประสิทธิ์ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นกรณีที่โจทก์และนายประสิทธิ์ต้องไปว่ากล่าวต่อจำเลยทั้งสามหรือบริษัท หากมีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นต่อโจทก์หรือนายประสิทธิ์ ข้อเท็จจริงในส่วนนี้ไม่ใช่หลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จและร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ
การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง