ย้อนข้อมูล‘วีระวุฒิ’จิ๊กซอว์สำคัญ! คดีข้าวจีทูจี ก่อนเผ่นหนีกัมพูชา-ใครช่วย?
“… ‘หมอโด่ง’ เป็นหนึ่งใน “จิ๊กซอว์” ชิ้นสำคัญ ในการระบายข้าวจีทูจีครั้งนี้ จึงไม่น่าจะแปลกใจเท่าใดนักที่จะหลบหนีไปต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ อสส. ตรวจสอบพบว่า อาจจะกบดานอยู่ที่กัมพูชา เพราะหากไม่หลบหนี คงยากที่จะต่อสู้คดีได้ แต่คำถามสำคัญที่น่าสนใจคือ ‘หมอโด่ง’ หลบหนีไปกับใคร หลบหนีไปได้อย่างไร มีใครคอย ‘เอื้อเฟื้อ’ ช่วยเหลือหรือไม่ ?...”
“เท่าที่ทราบจากการข่าวคือภายหลังที่ศาลฎีกาฯประทับรับฟ้องคดีระบายข้าวจีทูจี นพ.วีระวุฒิ ก็หลบหนีไปทันที ซึ่งขณะนี้คาดว่าอยู่ที่ประเทศกัมพูชา และอยู่ระหว่างประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามตัวกลับมา แต่ข้อมูลส่วนนี้ยังไม่ชัดเจน ต้องรอความชัดเจนมากกว่านี้ก่อน”
เป็นคำยืนยันของนายกิตตินันท์ ธัชประมุข รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานรับผิดชอบคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ระบุถึงพฤติการณ์หลบหนีของ ‘หมอโด่ง’ หรือ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) หนึ่งในจำเลยคดีระบายข้าวจีทูจี ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกหมายจับไปก่อนหน้านี้
(อ่านประกอบ : ‘วีระวุฒิ’เผ่นกัมพูชา! อสส.ฟ้องเพิ่ม 7 เอกชนพันคดีข้าวจีทูจีชุด‘บุญทรง’)
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม ‘หมอโด่ง’ ต้องหลบหนี ทั้งที่บรรดาอดีตรัฐมนตรีทั้งนายบุญทรง และนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ รวมถึงข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพาณิชย์ และเอกชนอีกหลายรายยังอยู่สู้คดี ?
หรือเป็นไปได้ว่า ‘หมอโด่ง’ คือตัวละครสำคัญในคดีนี้ !
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ย้อนข้อมูลพฤติการณ์ของ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ ในกรณีระบายข้าวจีทูจี มานำเสนอให้สาธารณชนรับทราบอีกครั้ง ดังนี้
หนึ่ง ตามสำนวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการตั้งประเด็นไต่สวนว่า มีการแบ่งหน้าที่ให้ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ และนายนิมล รักดี (โจ – หนึ่งในผู้ถูกชี้มูลความผิดกรณีดังกล่าว) นำข้าวไปขายผู้ประกอบการค้าข้าวหรือไม่
ซึ่งพบว่า ในสัญญาการซื้อขายข้าว 4 ฉบับ จำนวนรวมกว่า 6.3 ล้านตัน รวมมูลค่ากว่า 6.6 หมื่นล้านบาท กับบริษัท จีเอสเอสจี นั้น สัญญาทั้ง 3 ฉบับแรก มีปัญหาแค่ว่า การซื้อขายข้าวแบบจีทูจีนั้นดำเนินการจริงหรือไม่เท่านั้น
แต่ในสัญญาที่ 4 ข้าวนาปี 2554/2555 ข้าวนาปรัง 2555 กับบริษัท ไห่หนาน ปริมาณ 6.5 พันตัน จำนวนเงิน 847 ล้านบาทเศษ ที่มี นายลิตร พอใจ เป็นผู้รับมอบอำนาจ พบว่า มีนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายฑิฆัมพร นาทวรทัต อดีต ผอ.สำนักการค้าต่างประเทศ และนายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมฯ เป็นผู้เจรจาฝ่ายไทย
ซึ่งปรากฏชื่อของ นายบุญทรง และ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ เป็นผู้ให้ความเห็นชอบ
หลังจากทำการซื้อขายข้าวในสัญญาที่ 4 มีผู้ประกอบการค้าข้าว 3 กลุ่มเข้ามาร่วมรับซื้อข้าว โดยใช้แคชเชียร์เช็คจ่ายให้แก่กรมการค้าต่างประเทศ โดยมี พ.ต.นพ.วีระวุฒิ และนายโจ ซึ่งเป็นคนของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เข้าไปเกี่ยวข้องในการซื้อขายครั้งนี้
เท่ากับว่า ในการซื้อข้าวครั้งที่ 4 เป็นการรับซื้อต่อภายในประเทศ มิได้มีการส่งออกนอกประเทศแต่อย่างใด เป็นการบริหารจัดการโดยบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งมีนายอภิชาต จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” เป็นเจ้าของ รวมถึงบรรดาบริษัทในเครือข่าย
จนนำไปสู่การชี้มูลความผิดนักการเมือง-ข้าราชการระดับสูง-เอกชน รวม 21 รายในกรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2558 ที่ผ่านมา
สอง ก่อนหน้าที่ ป.ป.ช. จะชี้มูลความผิด “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ (ขณะนั้น) ได้เปิดประเด็น เกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลในการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาล จากโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนของการระบายข้าวในประเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลต่อเนื่องจากปัญหาการระบายข้าวแบบจีทูจี ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2557 ที่รัฐสภา ด้วย
“หมอวรงค์” โชว์หลักฐานกลางรัฐสภา กรณีองค์การคลังสินค้า (อคส.) ขายข้าวขาว 8 แสนกิโลกรัม ราคาตันละ 5,700 บาท ให้แก่โรงสีโชควรลักษณ์ โดยโรงสีโชควรลักษณ์นำไปขายต่อแก่โรงสีแห่งหนึ่งที่ จ.กำแพงเพชร ในราคาตันละ 12,000 บาท โดยใช้แฟกซ์โอนใบมอบอำนาจแค่ใบเดียวราคา 5 บาท แต่ฟันกำไรถึง 6,300 บาท/ตัน และเป็นการขายก่อนที่จะได้ข้าวมาจากรัฐบาล โดยระบุสาเหตุที่ขายในราคาต่ำเช่นนี้ได้ เนื่องจากเจ้าของโรงสี จ.กำแพงเพชร ชื่อ “เสี่ยเปี๊ยก” ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ “เสี่ยเปี๋ยง” ทีเป็นายทุนผูกขาดการค้าขายข้าวรายใหญ่ และมีความใกล้ชิด “นายใหญ่” ที่อยู่ต่างประเทศ
ก่อนจะโชว์เอกสารสำคัญชิ้นที่สอง คือ หนังสือสัญญานาปรัง ไซโล อคส. 1/2555 ซึ่งเป็นสัญญาเช่าไซโลระบบควบคุมบรรยากาศเพื่อจัดเก็บรักษาข้าวสาร (โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2555) โดยเป็นการลงนามร่วมกันระหว่าง พ.ต.ต.ศราวุฒิ สกุลมีฤทธิ์ ผอ.อคส. "ผู้เช่า" กับนายเอนก ฉัตรไชยศิริ หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วน โรงสี โชควรลักษณ์รุ่งเรืองกิจ “ผู้ให้เช่า”
ซึ่งการเช่าไซโลข้าวดังกล่าว ปรากฏชื่อของ เคทีบี ไซโล ตั้งอยู่เลขที่ 25/3 หมู่ที่ 3 ถนน บางมูลนาก-ตะพานหิน ตำบลหอไกร อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ในสัญญาดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นที่รู้กันในวงการข้าวว่า เคทีบี ไซโล เป็นไซโลของ “เสี่ยเปี๋ยง” ที่ในอดีตใช้ชื่ออื่น ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นชื่อนี้
“หมอวรงค์” สรุปว่า บุคคลที่เป็นจอมบงการผู้อยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสำคัญในกระทรวงพาณิชย์ มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมช.พาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล ตำแหน่งขณะนั้น) และมีตำแหน่งเป็นคณะกรรมการในโครงการจำนำข้าวทุกชุด และเมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรี ให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เป็น รมว.พาณิชย์ บุคคลคนนี้ก็ยังมาเป็นเลขานุการ รมว.พาณิชย์ และยังได้เป็นคณะกรรมการในนโยบายจำนำข้าวทุกชุดเหมือนเดิม
“แม้แต่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่มีสถานะเป็น รมช.พาณิชย์ ยังไม่ได้เป็นกรรมการเรื่องการจำนำข้าวเลย แสดงว่า คน ๆ นี้มีความสำคัญมาก มีอำนาจเหนือรัฐมนตรี คน ๆ นี้ คือ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ ซึ่งเป็นตัวจริงเสียงจริงในกระทรวงพาณิชย์ มีความใกล้ชิดกับกลุ่มทุนด้านข้าว ซึ่งข้าราชการจะเสนออะไร ท่านรัฐมนตรีจะถามว่า คุณหมอทราบหรือยังทุกครั้ง” นพ.วรงค์ ระบุ
“หมอวรงค์” กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากนี้ยังมีตัวแทนอีกคน ใช้รถโฟลก์สวาเก้น ทะเบียน ฮธ 20 เข้าออกกระทรวงพาณิชย์ทุกวัน ซึ่งคนในกระทรวงกระซิบตนว่าเขามาทำงานตามปกติ เมื่อสืบค้นดูพบว่า เจ้าของรถคือ น.ส.ชุติมา วัชระพุกกะ ตอนแรกก็ไม่แปลกใจแต่ก็กังขาว่า เป็นคนเดียวกับนางชุฎิมา วัจนะพุกกะ ที่เป็นภรรยาของ นพ.วีระวุฒิหรือไม่
ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลทางทะเบียนรถ พบว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ รถคันนี้ เป็นของ บริษัท สยามอินดิก้า ก่อนจะโอนต่อมาให้บุคคลชื่อ “ชุฏิมา วัชรพุกกะ” เมื่อตรวจสอบประวัติภรรยาของ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ ก็พบว่ามีการหย่าร้าง และภรรยาเปลี่ยนนามสกุลจาก “นางชุฏิมา วัจนะพุกกะ” เป็น “น.ส.ชุฏิมา วัชระพุกกะ” แสดงให้เห็นถึงการอำพรางว่าเป็นคนละคน
สาม เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2556 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่บ้านเลขที่ 23 ซ.เฉลิมพระเกียรติ ร.๙ 551/ เขตประเวศ กรุงเทพ ซึ่งระบุว่าเป็นที่อยู่ของ “น.ส.ชุฏิมา วัชระพุกกะ” ในเอกสารทะเบียนการถือครองรถ VOLKSWAGEN สีดำหมายเลขทะเบียน ฮธ 20 ตามหลักฐานที่ นพ.วรงค์ นำมาเปิดเผย
พบว่า เป็นบ้านเดี่ยวหรูขนาดใหญ่ 2 ชั้น ในหมู่บ้าน กรองทอง พาวิลเลี่ยน ย่านเขตประเวศ หน้าหมู่บ้านมีเจ้าหน้าที่รปภ.ตรวจสอบอย่างละเอียด
ด้านหน้าบ้าน มีป้ายแขวนระบุ “บ้านวัจนะพุกกะ” นามสกุลเดียวกันกับ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ
เมื่อผู้สื่อข่าวกดกริ่งเรียกคนในบ้านอยู่พักหนึ่งมีเด็กผู้หญิงวัยรุ่นเปิดประตูบ้านออกมาพบ ผู้สื่อข่าวถามว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของ น.ส.ชุฏิมา วัจนะพุกกะ ใช่หรือไม่ วัยรุ่นคนดังกล่าวระบุว่า “ใช่ แต่ตอนนี้แม่ไม่อยู่ มีธุระอะไร”
ผู้สื่อข่าวได้แจ้งว่า ต้องการจะมาขอสัมภาษณ์ข้อมูลเกี่ยวกับ การรับโอนรถจากบริษัท สยามอินดิก้า ก่อนจะถามต่อว่า พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนพุกกะ อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยหรือไม่ หญิงวัยรุ่นระบุว่า “ไม่สามารถให้สัมภาษณ์ใด ๆ ได้” ก่อนจะขอตัวกลับเข้าบ้านไป
จากการสอบถามข้อมูลชาวบ้านในบริเวณบ้านหลังดังกล่าว ได้รับแจ้งว่า บ้านหลังดังกล่าว เป็นบ้านของ น.ส.ชุฏิมา วัจนะพุกกะ มีสามี เป็นนายตำรวจใหญ่ และปัจจุบันก็พักอาศัยอยู่ด้วยกัน
ดังนั้นตามข้อมูลทั้งหมดที่ไล่เรียงมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นสำนวนของ ป.ป.ช. หรือของ นพ.วรงค์ ที่เปิดประเด็นในรัฐสภา รวมถึงการรลงพื้นที่ของสำนักข่าวอิศราเอง
บ่งชี้ให้เห็นได้ว่า ‘หมอโด่ง’ เป็นหนึ่งใน “จิ๊กซอว์” ชิ้นสำคัญ ในการระบายข้าวจีทูจีครั้งนี้ !
จึงไม่น่าจะแปลกใจเท่าใดนักที่จะหลบหนีไปต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ อสส. ตรวจสอบพบว่า อาจจะกบดานอยู่ที่กัมพูชา เพราะหากไม่หลบหนี คงยากที่จะต่อสู้คดีได้
แต่คำถามสำคัญที่น่าสนใจคือ ‘หมอโด่ง’ หลบหนีไปกับใคร หลบหนีไปได้อย่างไร มีใครคอย ‘เอื้อเฟื้อ’ ช่วยเหลือหรือไม่ ?
ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด !
อ่านประกอบ :
ดูชัด ๆ ป.ป.ช.ปอกเปลือกคดีจีทูจีเก๊เชือดยกเข่ง“บุญทรง-บิ๊กขรก.-เสี่ยเปี๋ยง”
ป.ป.ช.เชือดล็อตแรกคดีข้าวจีทูจี"บุญทรง-ภูมิ"ไม่รอด-ฟ้องแพ่ง 6 แสนล้าน
เปิด19 ชื่อป.ป.ช.แจ้งข้อหาเพิ่มคดีข้าวจีทูจี-“สิราลัย-คนสยามอินฯ"โดนยกแผง!
ย้อนข้อมูล"วีระวุฒิ-อดีตเลขาฯบุญทรง"จิ๊กซอว์สำคัญคดีทุจริตระบายข้าว?
รวมมิตร "หลักฐาน"เชิงประจักษ์ "มัด"ระบายข้าวรับจำนำรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"