สมคิด จาตุศรีพิทักษ์:เมื่อเราตัวเล็กต้องออกหมัดแรงสู้เกมเศรษฐกิจ
“สภาพจิตใจวันนี้เวลาพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ ทุกคนจิตใจห่อเหี่ยว แต่ผมมาวันนี้มาเพื่อจะบอกว่าไม่ต้องห่อเหี่ยว เมืองไทยต้องดีขึ้นแน่นอน”
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ยกเครื่องเศรษฐกิจใหม่Thailand’s New S-Curve” ในเวทีสัมมนา‘Thailand Economic Outlook 2016 อนาคตเศรษฐกิจเติบโตอย่างไรในบริบาทใหม่’ จัดโดย เครือเนชั่น NOW26 และหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ณ ห้องแอทธินี คริสตัล ฮอลล์ ชั้น 3 โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน
ดร.สมคิด เริ่มต้นปาฐกถาพิเศษด้วยการสร้างความมั่นใจ โดยยืนยันว่า เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะดีขึ้นมากน้อยเพียงใด ด้วยการหวังว่าอยู่ๆการส่งออกจะดีขึ้น หรือนั่งลุ้นว่าต้องลงทุนเท่าไหร่ คงไม่ใช่ โดยคนไทยทุกคนต้องขับเคลื่อนพลังจึงจะเกิดขึ้น นี่คือข้อเท็จจริงของเรื่องเศรษฐกิจ
เหตุผลสำคัญของปัญหาเศรษฐกิจคือที่ผ่านมาเราปล่อยปะละเลย ปล่อยให้โครงสร้างหลายๆอย่างในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจเสื่อมโทรมไม่เข้มแข็งเหมือนในอดีต เมื่อไม่แข็งแรงในภาวะที่การเมืองไม่ยอมสงบก็ยิ่งทำให้เกิดการผุพังของโครงสร้าง
“ในช่วงปีที่ผ่านมาบ้านเมืองสงบ เสถียรภาพทางการเมืองเริ่มกลับมา ทิศทางเศรษฐกิจก็ดูดีขึ้น ตอนคณะทำงานเศรษฐกิจชุดใหม่เข้ามาได้รับบัญชาจากท่านนายกรัฐมนตรีให้มาดูแลภาระกิจสำคัญคือการยุติการหยุดยั้งภาวการณ์ทรุดตัวของเศรษฐกิจ พอเริ่มทำโครงการก็ถูกตั้งคำถามว่า แบบนีประชานิยมไหม ภาษีเสียหายหรือไม่”
ดร.สมคิด อธิบายว่า 3 โครงการที่รัฐบาลได้ทำไป ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน การช่วยเหลือเอสเอ็มอี การยกเว้นภาษีการโอนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งหมดแล้วใช้เงินไปเพียง 6 หมื่นล้านบาท แต่มีเม็ดเงินเข้าไปอัดฉีดในระบบกว่า 500,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนและปรับตัวดีขึ้นการมากล่าวหาว่าเราทำให้เกิดความเสียหายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีตรรกะ และโครงการต่างๆอย่างน้อยก็ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจจากรากหญ้าเกิดการซึมซับลงเรื่อยๆ ความมั่นใจก็เริ่มกระเตื้องขึ้นมา ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินจากมาตรการดังกล่าวจะเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข่าวดีของเศรษฐกิจไทยอีกว่า จีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ) วันนี้ของเราเริ่มผงกหัวถึงจะไม่มากนัก แต่ก็ดีมากแล้วสำหรับเมืองไทย หากไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงต้องบอกตรงนี้ว่า ไม่ต้องห่วง ดีไม่ดีจีดีพีทะลุ 3% เมืองไทย 10 ปีที่ผ่านมาการลงทุนโต7-10 % ทุกวันนี้กลับโตเพียง 2% เท่านั้น ถามว่าเกิดจากอะไร เพราะเราไม่ลงทุนเลย ไม่มั่นใจในตัวเอง และรอให้รัฐกระตุ้นอย่างเดียวแล้วแบบนี้ถามว่าการลงทุนจะโตไปอย่างไร
“ปีหน้าเป็นปีของการลงทุนของเราแล้ว เป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องเข้ามา จีดีพีผงกหัวแล้ว รัฐจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก็จะไหลมา ถามว่า ถ้าไม่ลงทุนแล้วจะเก็บเงินไว้ทำอะไร สินค้าอะไรขายไม่ออก ก็โทษรัฐบาล โทษพาณิชย์ไว้ก่อน ทั้งๆที่สินค้าแข่งไม่ได้ เพราะว่าล้าสมัย ไม่มีจุดแข็ง ค่าเงินบาทอ่อนถึงจะสู้เขาได้ ฉะนั้นวันนี้เรื่องจีดีพีเลิกพูด เพราะมีแต่จะดีขึ้นๆ”
สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องจีดีพีนั้น ดร.สมคิด บอกว่า นั่นคือเรื่องของโครงสร้างทางเศรษฐกิจเนื่องจากโครงสร้างผุพังและอ่อนแอ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือการสร้างความเติบโตอย่างสมดุลทั้งภายในและภายนอก เอาเงินจากภายนอกมากระตุ้นระบบเศรษฐกิจภายในโดยเฉพาะในกลุ่มชาวนา เช่นเรื่องกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนและเป็นการจุดประกายการกระตุ้นเศรษฐกิจของท้องถิ่นโดยเป็นการเชื่อมโยงของเครือข่ายประชาชน
การที่มุ่งเน้นไปที่ระดับรากหญ้าเพราะต้องการสร้างความเจริญในระดับพื้นฐาน ไม่ใช่การกระตุ้นการซื้อเสียง หรือมัดจำเสียง ซึ่งโครงการเหล่านี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุดแต่เป็นจุดเริ่มต้นที่จะริเริ่มโครงการดีๆที่มาจากข้างล่าง
สำหรับเรื่องS-Curve (เส้นทางสู่ความสำเร็จของนวัตกรรม) ได้เสนอท่านนายกรัฐมนตรีไป 4 อย่าง คือ 1.อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 2.อุตสาหกรรมการบิน 3.อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) 4.อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ซึ่งได้เสนอคณะรัฐมนตรีและผ่านการเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว (อ่านประกอบ:ข้อเสนอ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย New Engine of Growth)
“ผมแก่แล้ว มาครั้งนี้ขออนุญาตเมียมา เพราะมองเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นลูกหลานได้ประโยชน์ สละเงินเดือนล้านมารับเงินแสนบาท ค่าน้ำมันรถก็ไม่มี นี่แหละความจริงประเทศไทย ทำไม่ดีก็โดนด่า แล้วจะเอาคนเก่งๆที่ไหนมาทำงาน คนเงินเดือนเป็นล้านมารับจ๊อบ รับมาทำแล้วโดนด่า เอาสมองส่วนไหนมาคิด ลองมาบริหารดูบ้างซิ”
การจะเดินเกมรุกในต่างประเทศสำหรับประเทศเล็กๆ ดร.สมคิด บอกว่า เมื่อเราตัวเล็กต้องออกหมัดให้แรง
วิธีแรกคือแรงบีบจากภูมิศาสตร์การเมือง สองคือรู้จักหยิบประเด็นขึ้นมาเล่น และที่สำคัญต้องสร้างนัยยะสำคัญของประเทศให้เกิดขึ้นในสายตาคนอื่น เพราะเราถูกต้อนเข้ามุม แล้วก็เกิดการปฏิวัติ ซึ่งประเทศใหญ่ๆเขาไม่ค่อยแฮปปี้
นอกจากนี้เราก็จะเริ่มรุกออกไปต่างประเทศเพื่อที่จะบอกว่าเรามีดีอะไร แล้วเชิญชวนเขาเข้ามาลงทุน
“ผมอยากให้กำลังใจคนไทยว่าไม่ต้องหวั่นไหว เราผ่านวิกฤตกันมาได้แล้ว วันนี้แค่สโลว์ ดูหน้าผมซิวันนี้มีอะไรต้องกังวลไหม หน้าผมยังบอกไม่มีอะไรต้องกังวล รัฐบาลดูแลทุกอย่างให้ท่านอยู่แล้ว เงินลงทุนเราก็มี เราเตรียมแผนไว้หมดแล้ว นี่ยังมีก๊อก 2 ถ้ามีประมูลอีกสัก 2 ใบ ใบละ5 หมื่นล้านบาท แค่นี้ก็ได้เงินมาลงทุนอะไรได้อีกมาก ดังนั้นไม่ต้องกังวล”