อาจารย์สาวโต้เลขาฯ สกอ.กรณี‘ขอย้าย’หลังถูกทำร้าย-ซัดถ้าเป็นเพศชายจะไม่ร้องเรียน
อาจารย์สาววิทยาลัยชุมชนพิจิตรส่งหนังสือแจงปลัดสำนักนายกฯ โต้ เลขาฯ สกอ. 3 ข้อ กรณีขอย้ายกลับภูมิลำเนาหลังถูกทำร้าย แต่กลับเข้าใจคลาดเคลื่อน ผวาอยู่บ้านพักติดห้องเกิดเหตุ ซัดถ้าเป็น ‘เพศชาย’จะไม่ขอร้องเรียน
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อ 15 มิ.ย.58 ที่ผ่านมา นางปณิชา ศรีจักร์ อาจารย์วิทยาลัยชุมชนพิจิตร ได้ส่งหนังสือถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงข้อเท็จจริง 3 ประเด็น กรณี การรายงานผลการพิจารณา ของเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ที่เจ้าตัวผู้ร้องเรียนระบุว่าผู้บริหารมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกรณีขอย้ายกลับภูมิลำเนาหลังเกิดกรณีถูกทำร้ายจากเพศตรงข้าม เนื้อหาสรุปว่า
ประเด็นเรื่องความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ภายหลังที่นางปณิชาถูกทำร้ายจากเพศชาย
ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกจำเลยผู้ลงมือทำร้ายเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ ต่อมาจำเลยได้พ้นโทษเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2556 และอาจมีความโกรธแค้น ประกอบกับเป็นบุคคลในพื้นที่จังหวัดพิจิตร และสถานที่เกิดเหตุในคดีดังกล่าวเป็นบ้านพักราชการ ซึ่งเป็นสถานที่ของราชการ ในวิทยาลัยชุมชนพิจิตร อีกทั้ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยชุมชนพิจิตรก็ไม่รับรองความปลอดภัย ในชีวิต และทรัพย์สิน แต่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ยังมีคำสั่ง ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2557 ให้นางปณิชาผู้ร้องย้ายกลับต้นสังกัดคือวิทยาลัยชุมชนพิจิตรและบ้านพักใกล้กับห้องเกิดเหตุ
ประเด็น ขอความเป็นธรรมการโอนย้ายโดยตัดตำแหน่งจากวิทยาลัยชุมชนพิจิตรไปกำหนดเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ภายหลังผู้ร้องมีความประสงค์ขอโอนย้ายกลับภูมิลำเนา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้ให้ความช่วยเหลือดำเนินการอย่างรวดเร็ว และตรงไปตรงมา แต่การขอโอนดังกล่าวติดขัดที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้เข้าใจข้อเท็จจริงในหนังสือสำนักงบประมาณ ตามที่ตอบกลับมายัง เลขาธิการ ก.ค.ศ. คลาดเคลื่อน และสำนักงาน ก.ค.ศ. ตอบหนังสือกลับไปยัง เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จึงเป็นสาเหตุให้การขอโอนดังกล่าวระงับการโอนไป ทั้งนี้ ได้เรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปยังสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้ขอทบทวนการพิจารณาการตัดโอนตำแหน่งและดำเนินการเรื่องของงบประมาณตามข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ เพื่อเป็นการเยียวยาข้าราชการระดับล่าง ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2557 ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ทราบผลการพิจารณาการทบทวนดังกล่าว
ประเด็น การให้ความช่วยเหลือให้ช่วยปฏิบัติราชการ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์
ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ผู้ร้องได้บันทึกข้อความขอช่วยปฏิบัติราชการเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้มีคำสั่งให้ช่วยปฏิบัติราชการ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์ ตั้งแต่ 10 มีนาคม 2552 เป็นต้นมา และในการขอช่วยปฏิบัติราชการต่อ เป็นการขอช่วยปฏิบัติราชการที่มีลักษณะที่จะต้องขอในทุก ๆ ปี ก่อนที่ระยะเวลาการช่วยราชการจะครบกำหนด โดยตลอด 5 ปี ที่ผ่านมา ได้บันทึกข้อความขอช่วยปฏิบัติราชการต่อ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์ ยินดีให้ช่วยปฏิบัติราชการตลอดมา กระทั่ง เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2557 ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ได้ให้ช่วยปฏิบัติราชการในหน้าที่ผู้สอนถึงเดือนธันวาคม 2557 โดยอ้างว่า ไม่มีชั่วโมงสอนเพียงพอ ซึ่งเป็นเสนอข้อมูลอันไม่ตรงต่อความเป็นจริง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ยังคงมีชั่วโมงสอนเหลืออีกจำนวนมาก ผู้ร้องจึงได้นำเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ ในข้อหาหรือฐานความผิดต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ในข้อหาหรือฐานความผิด เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล
ตอนท้ายหนังสือระบุว่า “ ข้าพเจ้าซึ่งเป็นสตรี และมีภาระต้องเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งแก่ชรามีโรคประจำตัว อีกทั้งบุตรซึ่งยังเล็กไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก เป็นธรรมดาที่จะต้องมีความหวาดระแวงกับเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นกับตน ที่สำคัญเกิดขึ้นในสถานที่ราชการ และเป็นเหตุการณ์เฉียดตายที่วิกฤตที่สุดในชีวิตและไม่สามารถลืมเลือนเหตุการณ์นั้นได้ ซึ่งทุกวินาทีที่เกิดเหตุการณ์นั้นได้อยู่ในความทรงจำและสร้างความเจ็บปวดให้แก่ข้าพเจ้าอย่างมาก ในขณะเดียวกันหากวิญญูชนโดยทั่วไปซึ่งเป็นสตรีและมีสถานะเช่นเดียวกันกับข้าพเจ้า ก็ย่อมคงยังต้องมีความหวาดระแวงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ถ้าหากข้าพเจ้าเป็นเพศชาย ข้าพเจ้าจะไม่ขอช่วยปฏิบัติราชการ และจะไม่ทำหนังสือร้องเรียน ร้องทุกข์ เพื่อขอความเป็นธรรมต่อหน่วยงานต่างๆ แต่อย่างใด”
นางปณิชาระบุว่า ตลอดระยะเวลาการช่วยปฏิบัติราชการที่ผ่านมาซึ่งยาวนานกว่า 5 ปี เศษ ครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2557 ได้ขอช่วยปฏิบัติราชการ ณ วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ซึ่งได้มีคำสั่งยินดีให้ช่วยปฏิบัติราชการ และวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2558 แต่ก็มิได้รับการตอบกลับจากเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาแต่อย่างใด
“ จึงทำให้การดำเนินชีวิตของข้าราชการชั้นผู้น้อยต้องผันแปรไปตามกระบวนการที่ไม่ชอบธรรม ไม่คำนึงถึงความเมตตา คุณธรรมจริยธรรมและความถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมาย ของผู้มีอำนาจในการพิจารณาสั่งการ แม้กระทั่งการการแจ้งผลการพิจารณา ของเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ต่อ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังมีเวลาที่ยาวนานเช่นเดียวกัน และไม่เป็นตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำหนดให้แจ้งผลการพิจารณา ให้ทราบภายใน 15 วัน จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และใช้ประกอบในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามที่ข้าพเจ้าได้ร้องเรียนและขอความเป็นธรรม และนำเรียนหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต่อไป”นางปฏิชากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่มาของหนังสือฉบับดังกล่าวมีที่มาจาก ก่อนหน้านี้ นางปณิชา ได้ส่งหนังสือถึงเลขานุการ ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.)ขอให้ตรวจสอบกรณีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ไม่ดำเนินการ รวมทั้งไม่ให้ความสำคัญ ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของบุคลากรผู้ใต้บังคับบัญชาชั้นผู้น้อย อันเนื่องขอมาจากโอนย้ายจากพื้นที่ที่ไม่มีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน
หนังสือดังกล่าวระบุว่า ผู้ร้องได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรม ต่อเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2557 และผู้ร้องได้รับแจ้งให้ทราบจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2557 ว่าสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ประสานและติดตามให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบกรณีที่ได้ร้องเรียนดังกล่าว เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อไป โดยขอให้แจ้งผลให้ผู้ร้องทราบโดยตรง ซึ่งผู้ร้องได้ร้องขอความเป็นธรรมในเรื่อง
1.ขอโอนย้ายโดยการตัดโอนตำแหน่งที่ครองอยู่ ไปสังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือโอนย้ายโดยการตัดโอนตำแหน่งไปสังกัดวิทยาลัยอาชีวศึกษานครสวรรค์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
2.การขอช่วยปฏิบัติราชการ เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ในระหว่างรอกระบวนการโอนย้ายโดยการตัดโอนตำแหน่งจะแล้วเสร็จ ซึ่งขณะนี้ผู้ร้องก็ยังไม่ได้รับการให้ความช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว ทั้งที่ผู้ร้องและ คสช. ก็ได้ดำเนินการติดตามทวงถามไปยัง สกอ. และสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการหลายครั้ง
(กดคลิกติดตามข่าวสาร ได้ใน แฟนเพจ "I love isranews ")
(ดูหนังสือประกอบ)
อ่านประกอบ:
ร้อง ศอตช.สอบ บิ๊ก ก.ศึกษาฯปมโอนย้ายอาจารย์สาวคดีถูกทำร้าย
หนังสือ 6 ฉบับ“อาจารย์สาว”อดีตเหยื่อคดีล่วงละเมิด “ผู้มีอำนาจ”ไม่ได้ฟัง!
อาจารย์สาวเหยื่อคดีทำร้ายผวา!“ถูกคุกคามหนัก”วอนผู้บังคับบัญชาย้ายกลับภูมิลำเนา