- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นักวิจัย สกว. ชี้แรงงานไทยมีทักษะต่ำคิดเป็นสัดส่วน 73% ของการจ้างงานทั้งหมด
นักวิจัย สกว. ชี้แรงงานไทยมีทักษะต่ำคิดเป็นสัดส่วน 73% ของการจ้างงานทั้งหมด
สกว.สะท้อนปัญหาความไม่พร้อมด้านนวัตกรรมและการขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย ระบุแรงงานต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ฝึกอบรมพัฒนาทักษะโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ไอที ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างและใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดรายงาน “ทุนมนุษย์กับผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรมไทย” โดย ศ. ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ รศ. ดร.ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับการฝึกอบรมของบริษัทในประเทศไทย และการฝึกอบรมพนักงานส่งผลอย่างไรต่อบริษัท รวมถึงจะทำอย่างไรเพื่อช่วยส่งเสริมการฝึกอบรมในบริษัท ภายใต้การสนับสนุนของฝ่ายนโยบายชาติและความสัมพันธ์ข้ามชาติ สกว.
ผลการวิจัยระบุว่า เศรษฐกิจไทยมีสัดส่วนของการใช้จ่ายด้านนวัตกรรมต่อรายได้ประชาชาติเพียงร้อยละ 0.23 ขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 1
ธนาคารโลกได้วิเคราะห์หาสาเหตุพบว่า ภาคธุรกิจของไทยลงทุนด้านนวัตกรรมต่ำมากเพราะมีต้นทุนสูง (ร้อยละ 43.6) และขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ (ร้อยละ 42.7) การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานและการเพิ่มผลิตภาพแรงงานจึงเป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่งในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และสร้างความพร้อมแก่บุคลากรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรม เพราะบุคลากรมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้สร้างและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นรูปแบบที่สำคัญในการพัฒนาทักษะตลอดช่วงอายุ ทั้งการฝึกอบรมจากการทำงานและการพัฒนาทักษะอื่น ๆ
สำหรับภาคอุตสาหกรรมไทยประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานในเชิงคุณภาพโดยเฉพาะด้านทักษะพื้นฐาน ส่งผลทางลบต่อผลิตภาพแรงงานในประเทศ ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้เต็มกำลังความสามารถ และเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในนวัตกรรม แรงงานที่มีทักษะต่ำคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 73 ของการจ้างงานทั้งหมด ขณะที่ผู้จัดการ ผู้บริหาร และแรงงานวิชาชีพ ซึ่งเป็นแรงงานที่มีระดับของทุนมนุษย์สูงที่สุดมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 2-3 ส่วนแรงงานเชิงเทคนิค เช่น วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักคอมพิวเตอร์และไอที ที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างนวัตกรรมมีร้อยละ 4 เท่านั้น
นักวิจัย สกว. ระบุว่าการฝึกอบรมมีบทบาทสำคัญมากต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ในองค์กร หลักสูตรการฝึกอบรมภายในองค์กรส่วนใหญ่เป็นหลักสูตรสำหรับแรงงานที่มีทักษะในการใช้ทำงานในบริษัทได้เลย เช่น มาตรฐานความปลอดภัย การจัดการและการใช้เทคโนโลยี และเทคโนโลยีการผลิต
ขณะที่หลักสูตรที่จัดโดยหน่วยงานภายนอกจะเป็นด้านเทคโนโลยีการผลิต การจัดการและการใช้เทคโนโลยี และมาตรฐานความปลอดภัย ตามลำดับ
ส่วนหลักสูตรอบรมทักษะทั่วไป เช่น ภาษา การตลาด และไอที มีสัดส่วนค่อนข้างน้อย การลงทุนในทุนมนุษย์ทั้งด้านการศึกษาและการฝึกอบรม ทำให้บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทั้งในรูปแบบของเงินเดือนและผลตอบแทนอื่น ๆ
หากมองโดยรวมประเทศไทยค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างดีในเรื่องตัวชี้วัดทางปริมาณโดยสังเกตได้จากอัตราส่วนการลงทะเบียนเรียนเบื้องต้นในสถาบันการศึกษาในแต่ละระดับ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนทักษะที่บริษัทเห็นว่าแรงงานไทยยังมีคุณภาพต่ำมากที่สุด ได้แก่ ทักษะทางภาษาอังกฤษ รองลงมาคือ เทคโนโลยี การคำนวณ นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
ขณะที่ทักษะที่ขาดแคลนค่อนข้างมากจะเป็นทักษะทางด้านปัญญาเป็นหลัก
ทักษะด้านพฤติกรรม เช่น การเป็นผู้นำ การเข้าสังคม การแก้ไขปัญหา ก็เป็นทักษะที่เป็นปัญหาเช่นกันแต่ไม่มากเท่าทักษะทางปัญญา
ทักษะที่มีนัยสำคัญทางสถิติต่อการพัฒนาผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรม คือ ด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ ซึ่งมีความจำเป็นที่สุดทั้งกับแรงงานวิชาชีพและแรงงานสายการผลิต สอดคล้องกับงานวิจัยจำนวนมากที่อธิบายว่าโลกปัจจุบันนี้บริษัทจำเป็นต้องลงทุนทักษะดังกล่าวและมีแนวโน้มที่จะเกิดปรากฏการณ์ “ความลำเอียงทางทักษะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี” เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ดีผลิตภาพแรงงานโดยรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเมื่อแรงงานทั้งสองกลุ่มมีการพัฒนาทักษะที่แตกต่างกัน ทักษะด้านการเข้าสังคมมีนัยสำคัญทางสถิติสำหรับแรงงานวิชาชีพที่ส่งผลต่อการพัฒนาผลิตภาพแรงงานโดยรวม ขณะที่ทักษะด้านการคำนวณและการปรับตัวเป็นทักษะสำคัญต่อแรงงานในสายการผลิต
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะดังกล่าว เช่น การสร้างความสุขในสถานที่ทำงาน เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง จะทำให้แรงงานมีความสุขและความพึงพอใจ เกิดแรงจูงใจในการทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ และช่วยพัฒนาทักษะด้านพฤติกรรม เช่น การทำงานเป็นทีมหรือการเข้าสังคม ลดความเหลื่อมล้ำในที่ทำงาน อันจะช่วยกระตุ้นให้เกิดผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นตามมา โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างองค์กรแห่งความสุข มี 10 ลักษณะ ได้แก่ การตอบสนองความต้องการพื้นฐาน การพัฒนาความรู้ความสามารถ สัมพันธภาพ การสร้างการยอมรับ การบริหารจัดการ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร การสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงาน ภาวะผู้นำ ความรับผิดชอบต่อสังคม และการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ นักวิจัย ระบุถึงภาพรวมระบบการศึกษาไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญของการสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต ปัญหาสำคัญที่พบคือ ความไม่สอดคล้องกันระหว่างความต้องการกำลังคนและการผลิตกำลังคนของประเทศผ่านระบบการศึกษา รวมถึงปัญหาคุณภาพแรงงานโดยเฉพาะทักษะขั้นพื้นฐาน
ในเชิงนโยบายจึงควรส่งเสริมและสนับสนุนให้โรงเรียนอาชีวะ มหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่จัดการอบรมได้มีบทบาทร่วมกันกับภาคเอกชนมากขึ้น ทั้งนี้ระบบการเรียนการสอนในรั้วการศึกษาไทยยังมีการเชื่อมโยงไปสู่นายจ้างค่อนข้างน้อย รูปแบบความร่วมมือมีหลายลักษณะขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างหน่วยงานการศึกษาและสถานประกอบการ โดยกำหนดให้มีการฝึกประสบการณ์ตรงเป็นข้อกำหนดที่สำคัญในการสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา ประเทศไทยมีเพียงบางหลักสูตรที่กำหนดให้นักศึกษามีประสบการณ์ตรงในวิชาชีพของตน และมีหลักสูตรจำนวนมากที่นักศึกษาไม่มีโอกาสดูงานและฝึกงานจริงจังอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังควรสนับสนุนความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยมากยิ่งขึ้นระหว่างภาคการศึกษากับภาคเอกชน รวมถึงการส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ที่มีความจำเป็นต่อการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน โดยสนับสนุนให้เน้นด้านสหสาขาวิชามากขึ้น เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้เชิงกว้าง ซึ่งมีผลอย่างมากในการทำให้นักศึกษามีทางเลือกในการประกอบวิชาชีพที่ตรงตามความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริง สามารถเชื่อมโยงความรู้และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ได้มากยิ่งขึ้น
“ดังนั้นจึงควรออกมาตรการจูงใจในการที่จะให้ภาคเอกชนเห็นความสำคัญของการลงทุนฝึกอบรมแรงงาน โดยภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นผู้อบรม หรือพัฒนาเครื่องมือในการอบรมได้ หากประเทศไทยต้องการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศโดยให้นวัตกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โครงสร้างพื้นฐานทางทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ถือเป็นตัวกำหนดของการคิดค้น การพัฒนา และนวัตกรรมทั้งหมด” นักวิจัย สกว.กล่าวสรุป