- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- กลุ่มค้านถ่านหินกระบี่จุดเทียนไล่ความมืด เขียนจม.วิพากษ์“ประยุทธ์”เลือกข้างกลุ่มทุน
กลุ่มค้านถ่านหินกระบี่จุดเทียนไล่ความมืด เขียนจม.วิพากษ์“ประยุทธ์”เลือกข้างกลุ่มทุน
กลุ่มค้านถ่านหินกระบี่จุดเทียนไล่ความมืด เขียนจดหมายวิพากษ์“ประยุทธ์”เลือกข้างกลุ่มทุน กฟผ.จัดเวทีค.3-ชาวบ้านยกหมู่บ้านร่วมต้าน
วันที่ 11 ตุลาคม นายภาสกร จำลองราช สื่อมวลชนอิสระ โพสต์เฟชบุค รายงานสถานการณ์ที่บริเวณศาลหลักเมือง จังหวัดกระบี่ว่า มีชาวบ้านกลุ่มคัดค้านโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ได้ร่วมกันจุดเทียนที่วางเรียงเป็นข้อความว่า “NO COAL” พร้อมทั้งอ่านจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
โดยมีเนื้อหาระบุว่า จากการรับฟังรายการคืนความสุขเพื่อคนไทยเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทำให้มีความรู้สึกทุกข์ใจกับความคิดและความเข้าใจของพลเอกประยุทธ์ถึงนโยบายของรัฐบาลต่อการผลักดันการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในจังหวัดกระบี่ที่ยังมีปัญหาและข้อห่วงใยในหลายด้าน
ในจดหมายระบุว่า การทำรัฐประหารในครั้งนี้ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่อ้างว่า เป็นไปเพื่อความปรองดองสมานฉันท์และเพื่อคืนความสุขให้กับประชาชนชาวไทยนั้น ในขณะนี้การประกาศนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลทำให้มีข้อสงสัยว่า การคืนความสุขในด้านพลังงานนั้นทำเพื่อประชาชนหรือเพื่อกลุ่มทุน ทั้งการประกาศเดินหน้าการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน การผลักดันสัมปทานรอบ 21 การประกาศขึ้นราคาพลังงาน การปิดปากประชาชนที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมด้านพลังงาน ทั้งหมดนี้เป็นการคืนความสุขให้ประชาชนด้านพลังงานใช่หรือไม่
“การพูดถึงถ่านหินว่าสะอาดและปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีนั้น ก่อให้เกิดข้อกังขาขึ้น เนื่องจากไม่มีข้อสรุปทางวิชาการใดมารองรับได้ การที่นายกรัฐมนตรีพูดเช่นนี้มีนัยยะเพื่อต้องการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานหรือเพื่อสนับสนุนกลุ่มทุนเหมืองถ่านหิน การสัมปทานรอบ 21 ที่ผลักดันโดยกระทรวงพลังงานนั้น ทำไมจึงไม่เปลี่ยนระบบให้ประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุดก่อนการให้สัมปทานขุดเจาะปิโตรเลียม ทั้งที่ประเทศรอบข้างได้เปลี่ยนระบบเพื่อให้ประเทศได้อธิปไตยด้านพลังงานสามารถจัดการกับปิโตรเลียมของตัวเองได้ แต่ประเทศไทยกลับดำเนินการตรงกันข้ามและนายกรัฐมนตรีก็ยังสนับสนุนการกระทำในทางตรงกันข้ามเช่นนี้ จึงมีคำถามต่อพลเอกประยุทธ์ ว่าดำเนินการเพื่อประโยชน์ของใคร” ในจดหมายระบุ
ในจดหมายถึงนายกรัฐมนตรียังระบุด้วยว่า วันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้อำนาจเพื่อปกป้องกลุ่มทุนพลังงาน ด้วยการใช้กองกำลังทหารอันมหาศาลมาปกป้องกลุ่มทุนเพื่อให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในระหว่างการทำรายงาน EIA ทั้งที่นานาประเทศได้มีแนวทางและทางออกความมั่นคงด้านพลังงานด้วยการใช้พลังงานสะอาด
“เราจึงมาจุดเทียน ณ ศาลหลักเมืองกระบี่เพื่อบอกต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ไม่อาจพึ่งพาผู้ใช้อำนาจรัฐที่เลือกข้างอยู่กับกลุ่มทุนพลังงานเพื่อทำการเอาเปรียบประชาชนในทุกวิถีทางโดยใช้กฎอัยการศึกเป็นเกราะกำบัง พลเอกประยุทธ์ ผู้นำประเทศนี้ได้สร้างความมืดมนต่อการใช้สิทธิเสรีภาพด้านพลังงานของประเทศนับแต่การรัฐประหารเป็นต้นมา” ในจดหมายระบุ
ขณะเดียวกันในวันเดียวกันนี้ ผู้สื่อข่าวได้สำรวจสถานการณ์ที่จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งสุดท้าย(ค.3) ในโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งจะจัดขึ้นที่บริเวณที่ว่าการอำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ โดยทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาจัดเตรียมสถานที่โดยระหว่างทางเข้าได้มีป้ายข้อความขนาดใหญ่อธิบายข้อกล่าวหาต่างๆ เช่น ถ่านหินเป็นพลังงานสะอาดอย่างไร,ความเป็นจริงเกี่ยวกับโรงงานพลังงานไฟฟ้าถ่านหิน
ขณะเดียวกันภายในห้องประชุมได้มีการเขียนข้อความขนาดใหญ่ว่า เป็นเวทีรับฟังความคิดเห็น อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ได้ห้ามผู้สื่อข่าวถ่ายภาพโดยมีท่าทีหวาดระแวง และอ้างว่ายังไม่เรียบร้อย
ด้านชาวบ้านแหลมหิน ตำบลคลองรั้ว อำเภอเหนือคลอง ซึ่งจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงการดังกล่าวเนื่องจากอยู่ติดกับที่ท่าเรือขนส่งถ่านหิน ต่างรู้สึกหวั่นวิตกกับโครงการดังกล่าว โดยชาวบ้านกว่า 200 คนได้เตรียมตัวเดินทางมาร่วมเวทีค.3 แม้รู้ว่าทางกฟผ.จะไม่ให้เข้าห้องประชุม แต่ก็ยืนยันว่าจะเดินทางไปร่วมด้วย
นายตาวัน พงษ์ยุทธ ชาวบ้านแหลมหิน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีทหารจำนวน 20 คนได้เข้ามายังชุมชนเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเดินทางไปคัดค้านในที่ประชุมค.3 ซึ่งชาวบ้านต่างยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว สิ่งที่น่ากังวลใจมากคือการที่กฟผ.ได้เปลี่ยนขนาดเรือบรรทุกถ่านหินจากขนาด 3 พันตัน เป็น 1 หมื่นตัน จะทำลายหญ้าทะเลและแหล่งอาหารของสัตว์น้ำทั้งหมด ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าเรือใหญ่ขนาดนี้ไม่สามารถวิ่งเข้ามาในร่องน้ำขนาดเล็กได้