- Home
- South
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวภาคใต้
- ผลวิจัยเด็กมุสลิมใต้ "เรียนหนักแต่ล้มเหลว" แนะบูรณาการ "ศาสนา-สามัญ"
ผลวิจัยเด็กมุสลิมใต้ "เรียนหนักแต่ล้มเหลว" แนะบูรณาการ "ศาสนา-สามัญ"
เปิดผลวิจัย "อิสลามศึกษา" พบเด็กมุสลิมชายแดนใต้ล้มเหลวทั้งวิชาการและศาสนา เหตุหลักสูตรไม่บูรณาการ ผู้ปกครองตั้งความหวังสูง อยากให้ลูกเป็นโต๊ะครูควบคู่กับอาชีพการงานดี ทำให้เรียนหนักจนล้า ขณะที่เด็กมาเลย์เรียนเบากว่าแต่กลับประสบความสำเร็จ ด้านสถานการณ์ที่ชายแดนใต้ยังมีป่วนบ้างประปราย ชาวบ้านแห่ร่วมกิจกรรม "รายอแน" คึก
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ห้องประชุมกำแหง พลางกูร สภาการศึกษาแห่งชาติ มีการสัมมนารายงานผลการวิจัยเรื่อง "บูรณาการอิสลามศึกษา รูปแบบการจัดการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานของโรงเรียนรัฐบาลในประเทศมาเลเซียเปรียบเทียบกับประเทศไทย" จัดโดยสภาการศึกษาแห่งชาติ
นายมูหามัดรูหนี บากา ผู้ชำนาญการอิสลามศึกษา สำนักบริหารยุทธศาสตร์และบูรณาการศึกษาที่ 12 หนึ่งในคณะวิจัย กล่าวว่า เด็กไทยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องเรียนหนักมาก แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันโรงเรียนในพื้นที่สอนอิลลามศึกษาควบคู่กับการเรียนวิชาสายสามัญ รวมๆ แล้วเด็กต้องเรียนทั้งหมด 16 วิชา เป็นวิชาสามัญ 8 กลุ่มสาระวิชา และวิชาศาสนา 8 รายวิชา ทั้ง 16 วิชานี้ยังแตกเป็นรายวิชาย่อยมากมาย เด็กจึงต้องใช้เวลาเรียนเยอะมาก แต่ผลการประเมินระดับชาติที่สะท้อนออกมากลับล้มเหลวทั้ง 2 ด้าน
กล่าวคือคะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอ-เน็ต ของเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในอันดับรั้งท้ายของประเทศ ส่วนคะแนนผลการทดสอบมาตรฐานอิลสามศึกษา หรือ ไอ-เน็ต คะแนนเฉลี่ยของทุกวิชาไม่ผ่านครึ่ง ยกเว้นวิชาเดียวคือวิชาจริยธรรมที่ได้คะแนนเกินครึ่ง
นายมูหามัดรูหนี กล่าวต่อว่า สำหรับโรงเรียนรัฐบาลในประเทศมาเลเซียนั้น แยกวิชาสามัญและวิชาศาสนาเหมือนกับไทย แต่มีการบูรณาการเนื้อหาวิชาศาสนาเข้าด้วยกันให้เหลือแค่วิชาศาสนาอิสลาม 1 รายวิชา แล้วไปแยกแยะเนื้อหาในกระบวนการเรียนการสอน เสริมด้วยวิชาภาษาอาหรับและภาษามลายูอีก 2 รายวิชา เด็กมาเลเซียจึงไม่ต้องเรียนหนักเหมือนเด็กมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่การเรียนศาสนาในมาเลเซียจะเน้นการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ให้เด็กสามารถประพฤติ ปฏิบัติตามหลักศาสนาได้อย่างถูกต้อง เด็กจึงค่อนข้างประสบความสำเร็จกับการเรียนอิสลามศึกษา
"สาเหตุที่ทำให้เด็กในสามจังหวัดภาคใต้ต้องเรียนหนัก เพราะความต้องการของพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นโต๊ะครู ขณะเดียวกันก็อยากให้เป็นแพทย์ไปด้วย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เด็กทุกคนเก่ง 2 ด้าน แต่ผลก็คือลูกตัวเองต้องเรียนหนัก รวมๆ แล้วต้องเรียนถึงวันละ 9 ชั่วโมง ขณะที่มาเลเซียเขาเรียนศาสนาแต่วันละ 3 ชั่วโมง ส่วนเด็กไทยตกกลางคืนต้องไปเรียนอัลกุรอานเพิ่ม เสาร์-อาทิตย์ยังต้องไปเรียนศาสนาที่ตาดีกา สุดท้ายเรียนไม่ผ่านเพราะเรียนหนักจนล้า"
"ขณะที่เด็กมาเลเซียนั้นจะเรียนศาสนาจบในระดับมัธยมต้น หลังจากนั้นถ้าใครต้องการไปเป็นผู้รู้ ไปเป็นโต๊ะครู จึงจะเลือกเรียนศาสนาเพิ่มเติมในระดับมัธยมปลาย ส่วนเด็กอื่นๆ ก็จะเรียนเน้นหนักในสายที่ตัวเองต้องการศึกษาต่อ" นายมูหามัดรูหนี กล่าว
แนะบูรณาการเนื้อหา"ศาสนา-สามัญ"
ดร.ศราวุฒิ อารีย์ รองผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเซียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าคณะวิจัย กล่าวว่า ทิศทางการจัดการศึกษาของโลกมุสลิมนั้นเน้นการศึกษาตลอดชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ ให้ศึกษาความรู้ทั้งทางวิชาการโดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์และศาสนา เพื่อให้สามารถทำประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้ แต่เป้าหมายการเรียนอิสลามศึกษาในไทยนั้นเพื่อความศรัทธาต่อพระเจ้า เพราะฉะนั้นการเรียนศาสนาในไทยจึงไม่เหมือนที่อื่น
นอกจากนั้น ยังไม่มีการเรียนแบบบูรณาการด้วย ดังนั้นจึงควรปรับปรุงในระดับเนื้อหา เช่น ทำอย่างไรจะให้วิชาคณิตศาสตร์สอดแทรกการเรียนรู้หลักศาสนาเข้าไปด้วย และวิชาที่คล้ายๆ กันก็ควรรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เด็กไม่ต้องเรียนหนัก และประสบความสำเร็จกับการเรียนได้
ไล่ยิงชาวบ้านที่เจาะไอร้อง – อส.รัวกระสุนสวนดับ 1
ด้านสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นบ้างประปราย โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 25 ส.ค.2555 เวลา 17.10 น.คนร้าย 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกขนาด .357 ประกบยิง นายมามะ บือราเฮง อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 55/2 หมู่ 1 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เสียชีวิตคาที่ เหตุเกิดขณะนายมามะขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนสายเจาะไอร้อง-บ้านป่าไผ่ หน้าสถานีรถไฟเจาะไอร้อง หมู่ 1 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านหลังเสร็จการคุมงานก่อสร้างแฟลตที่พักของโรงพยาบาลเจาะไอร้อง
มีรายงานว่า ขณะเกิดเหตุ ช่วงที่คนร้ายประกบยิงนายมามะจนรถจักรยานยนต์ของนายมามะล้มคว่ำนั้น คนร้ายได้จอดรถเพื่อจะลงไปยิงซ้ำ แต่ถูกเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) ประจำขบวนรถไฟสายสุราษฎร์ธานี-สุไหงโก-ลก ซึ่งจอดเทียบชานชลาพอดี ใช้อาวุธปืนอาก้ายิงใส่คนร้าย ทำให้ฝ่ายคนร้ายเสียชีวิต 1 ราย และกระสุนปืนพลาดไปถูกชาวบ้านได้รับบาดเจ็บอีก 1 ราย
ตรวจสอบหลักฐานของผู้เสียชีวิต ทราบชื่อคือ นายอามือรี ดือรามะ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12 หมู่ 4 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ในตัวพบอาวุธปืนพกขนาด .38 เหน็บอยู่ที่เอว และอาวุธปืนพกขนาด .357 ซึ่งเหลือกระสุนเพียง 1 นัด ยิงออกไปแล้ว 5 นัด ส่วนชาวบ้านที่พลาดโดนกระสุนลูกหลง คือ นางอานีตา สาดารา อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 221/1 หมู่ 1 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง บ้านอยู่ตรงข้ามจุดเกิดเหตุ
วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่จากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 จับกุมชายวัยรุ่นที่มีพฤติการณ์เสพและค้ายาเสพติด มีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส โดยถูกจับที่ ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส พร้อมของกลางเฮโรอีน 4 หลอด ซุกอยู่ในซองผ้าที่ใช้ใส่โทรศัพท์มือถือ และเจ้าตัวแขวนคอเอาไว้ เจ้าหน้าที่จึงใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกควบคุมตัวไปซักถามเพื่อหาความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อความไม่สงบต่อไป พร้อมประสานแจ้งญาติให้ทราบข้อมูลและเข้าเยี่ยมได้ที่กองบังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
ชาวบ้านร่วมทำกิจกรรมวัน "รายอแน" คึก
สำหรับบรรยากาศในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากวันอาทิตย์ที่ 26 ส.ค.เป็นวัน "รายอแน" หรือ "รายอหก" ซึ่งหมายถึงการเฉลิมฉลองและทำกิจกรรมร่วมกันหลังจากถือศีลอดต่ออีก 6 วัน ภายหลังเสร็จสิ้นเทศกาลฮารีรายออิดิ้ลฟิตรีของเดือนรอมฎอน (เดือนแห่งการถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม) แล้ว
โดยกิจกรรมในวัน "รายอแน" ชาวบ้านจะนัดไปร่วมตัวพัฒนาสุสาน (กุโบร์) ของแต่ละหมู่บ้าน ขณะเดียวกันบรรดาลูกหลานญาติมิตรของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็จะรวมตัวกันไปทำความสะอาดหลุมฝังศพ พร้อมสวดดุอาขอพรและแผ่ส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ จากนั้นก็รับประทานอาหารร่วมกัน ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายครอบครัวที่ลูกหลานพี่น้องแยกย้ายกันไปตั้งรกรากทำมาหากินอยู่ที่อื่น ก็จะเดินทางไปเยี่ยมเยียนกัน บางรายเดินทางไปถึงประเทศมาเลเซีย
นายมาวันดี สะตาวา ชาวบ้านในพื้นที่ ต.อาซ่อง อ.รามัน จ.ยะลา กล่าวว่า วันรายอแนเป็นประเพณีปฏิบัติของมุสลิมทุกหมู่บ้านในพื้นที่ โดยหลังจากวันรายออิดิ้ลฟิตรีของเดือนรอมฏอนเสร็จสิ้นแล้ว บรรดาญาติพี่น้องที่อยู่ต่างที่ ต่างถิ่นก็จะกลับมารวมตัวกันไปทำความสะอาดหลุมฝังศพ พร้อมกับสวดดุอาให้พรบนหลุมฝังศพให้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งยังร่วมกันพัฒนาภายในบริเวณที่ตั้งของสุสานและทางเข้าสุสานให้สะอาด จากนั้นก็มีการจัดเลี้ยงอาหารที่แต่ละครอบครัวได้จัดเตรียมมาเลี้ยงให้กับผู้ที่มาร่วมพัฒนาสุสานด้วย ถือเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นและกิจกรรมดีๆ ที่ชายแดนใต้ซึ่งปฏิบัติสืบเนื่องมาทุกปี
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 ห้องเรียนตาดีกาที่ชายแดนใต้ (ภาพจากแฟ้มภาพอิศรา ถ่ายโดย อับดุลเลาะ หวังหนิ พรางภาพโดยฝ่ายศิลป์ ทีมข่าวอิศรา)
2-4 บรรยากาศวันรายอแน (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)
ขอบคุณ : ข่าวเฉพาะส่วนผลวิจัย "อิสลามศึกษา" เอื้อเฟื้อโดยผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์คมชัดลึก