จับท่าที ป.ป.ช. สู้หรือถอย? คดี ‘สมชาย-พวก’สั่งสลายชุมนุม พธม.ในศาลฎีกา

เขียนวันที่

วันเสาร์ ที่ 27 สิงหาคม 2559 เวลา 16:38 น.

เขียนโดย

isranews

หมวดหมู่

รายงาน-สกู๊ป | เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา

Tags

คดีกล่าวหาการสั่งสลายการชุมนุมปี 2551 | นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี | ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง | ป.ป.ช.

“…ท่าทีเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้เกิดความกังวลกับบรรดาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านั้น รวมถึงเกิดการตั้งคำถามจากประชาชนว่า ตกลงแล้ว ป.ป.ช. จะยังสู้ในคดีนี้อยู่ หรือว่าจะถอยหลบฉากออกมา รอเวลาเพียงศาลพิพากษาเท่านั้น ?...”

PIC naccpantamit 27 8 59 1

กลายเป็นหนังเรื่องยาวอีกม้วน ?

สำหรับคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขย ‘ทักษิณ ชินวัตร’ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ เจ้าของสมญา ‘ขงเบ้งกองทัพบก’ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องในใส้ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ ‘บูรพาพยัคฆ์’ และรองนายกฯ ในปัจจุบัน พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. เป็นจำเลยที่ 1-4

กรณีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 โดยมิชอบ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยคดีนี้ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดตั้งแต่ช่วงปี 2552 และส่งสำนวนให้กับอัยการสูงสุด (อสส.)

ทว่าฝั่งอัยการเห็นว่าสำนวนคดีดังกล่าวยังมีข้อไม่สมบูรณ์ จึงได้ตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ดังกล่าว แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ กระทั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ถอนเรื่อง และนำมาสู่การฟ้องคดีดังกล่าวเองในที่สุด

ไม่ว่าข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวจะเป็นเช่นไร ?

แต่เท่าที่ผ่านมาภายหลังคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดกระทั่งฟ้องคดีดังกล่าวเอง พบว่า เกิดการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ในคดีดังกล่าวอย่างน้อย 2 เรื่อง

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปให้สาธารณชนเข้าใจง่ายขึ้น ดังนี้

กรณี ‘มือมืด’ แจ้งเรื่องไปทางอัยการให้เข้าไปแก้ต่างคดีสลายพันธมิตรฯ

กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา เมื่อตรวจสอบพบว่า ภายหลังที่ศาลฎีกาฯ มีมติรับฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว นายสมชาย พล.ต.อ.พัชรวาท พล.อ.ชวลิต และ พล.ต.ท.สุชาติ ได้ทำเรื่องขอแต่งตั้งพนักงานอัยการเข้ามาว่าความคดีดังกล่าวให้ 2 ครั้ง ทว่าองค์คณะผู้พิพากษามีมติไม่อนุญาตตามที่ขอ และให้จำเลยทั้ง 4 ราย แต่งตั้งทนายความเข้ามาแก้ต่างเอง

เบื้องลึกเบื้องหลังกรณีนี้ พบว่า มี ‘ใครบางคน’ ได้ทำหนังสือไปถึง อสส. เพื่อให้พนักงานอัยการเป็นทนายความแก้ต่างคดีนี้ เพราะมั่นใจในฝีมือ กระทั่งนำไปสู่การหารือของคณะทำงานอัยการชุดใหญ่ 2 ครั้ง โดยเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมยืนยันว่า ไม่สามารถทำได้เนื่องจากมีความไม่เหมาะสมหลายประการ

อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นมีความพยายามจาก ‘ใครบางคน’ อีกเช่นกัน ผลักดันเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อให้แจ้งเรื่องดังกล่าวอย่าเงป็นทางการไปยัง อสส. ให้แต่งตั้งพนักงานอัยการเข้ามาทำคดีนี้ให้ได้

ต่อมามีคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2558 เกี่ยวกับกรณีนี้ทำนองว่า ที่ผ่านมาปรากฏเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกฟ้องคดีอันเนื่องมาจากการปฏิบัติราชการโดยไม่ใช่พนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดี เช่น กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฟ้องเอง เพราะพนักงานอัยการมีความเห็นไม่สมควรฟ้อง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องจ้างทนายความแก้ต่างคดีด้วยตัวเอง ดังนั้นเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกฟ้องดังกล่าว เห็นควรประสานกับสำนักงาน อสส. ให้พนักงานอัยการพิจารณารับแก้ต่างให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐผู้ถูกฟ้องคดีด้วย ซึ่งคณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบ และมอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ และ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ไปดำเนินการต่อ

กระทั่งนำมาสู่การแต่งตั้งพนักงานอัยการเข้าไปเป็นทนายแก้ต่างให้กับจำเลยทั้ง 4 ทว่าองค์คณะผู้พิพากษา พิจารณาแล้ว 2 ครั้ง ยังยืนยันมติเดิมคือ ไม่อนุญาตให้พนักงานอัยการเข้ามาแก้ต่างในคดีนี้ เนื่องจากไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย และการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความแผ่นดิน มิใช่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อต่อสู้คดีกับแผ่นดิน ในกรณีที่แผ่นดินโดยองค์กรของรัฐเป็นผู้ฟ้องคดีเสียเอง !

(อ่านประกอบ : ศาลฎีกามติ 8 ต่อ 1ห้ามตั้งอัยการแก้ต่างให้"สมชาย-พวก"คดีสลาย พธม., ศาลฎีกาฯยกซ้ำ! อัยการขอแก้ต่างคดี “สมชาย-พวก”สลาย พธม.ชี้ไม่มีส่วนได้เสีย, เบื้องหลัง! ตั้งอัยการแก้ต่าง "สมชาย-พวก" คดีสลายพธม.ครม."บิ๊กตู่" จัดให้)

ท้ายสุดเรื่องดังกล่าวก็เงียบไป และเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ?

กรณี คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาขอถอนฟ้อง

แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอีกหลายเดือนต่อมา เกิดกระแสข่าวในสำนักงาน ป.ป.ช. ว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ใหม่แกะกล่อง (ขณะนั้น) ได้ชงเรื่องเข้าสู่วาระการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้มีมติรับเรื่องร้องเรียนของ นายสมชาย พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ ในการขอให้ถอนฟ้องคดีสลายชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ (ไม่ปรากฏชื่อของ พล.อ.ชวลิต ในคำร้องดังกล่าว) เนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่

กระทั่งที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 5 ต่อ 1 รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา (มีเพียงกรรมการ ป.ป.ช. รายเดียวลงมติคัดค้านคือ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ และมีกรรมการ ป.ป.ช. 3 คน ไม่ได้เข้าร่วมประชุม) มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีนี้ มีนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. เป็นประธานฯ ที่ปรึกษากรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คน ตัวแทนสำนักกฎหมาย ตัวแทนสำนักคดี ร่วมเป็นกรรมการ

อย่างไรก็ดีกรณีนี้ถูกเจ้าหน้าที่ในสำนักงาน ป.ป.ช. หลายราย ‘คัดค้าน’ เนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม และไม่สามารถทำได้ !

โดยก่อนหน้าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติตั้งคณะกรรมการพิจารณาข้อเท็จจริงคดีดังกล่าว มีรายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.วัชรพล ได้แทงเรื่องไปยังสำนักกฏหมายว่า ทำได้หรือไม่ โดยสำนักกฎหมายตอบกลับมาทำนองว่า การถอนฟ้องคดีนี้อยู่ในดุลยพินิจของศาล แม้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติถอนฟ้อง ก็ต้องรอศาลพิจารณาว่าจะดำเนินการตามที่ร้องขอหรือไม่

ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.วัชรพล ได้แทงเรื่องให้กับเจ้าหน้าทฝ่ายวิเคราะห์ในสำนักงาน ป.ป.ช. ถึง 2 ครั้ง เพื่อให้ประเมินกันว่า ตามคำร้องดังกล่าวมีการให้เทียบคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ กับคดีสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ว่า เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร และสามารถถอนฟ้องได้หรือไม่

เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์มีหนังสือตอบกลับมาทำนองว่า หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติถอนฟ้องคดีดังกล่าว อาจเข้าข่ายทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต หรือผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการได้ เหมือนกับกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่ขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง

ส่วนประเด็นหลักฐานใหม่ที่จำเลยทั้งสามรายร้องขอความเป็นธรรมมานั้น สามารถนำไปยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ไต่สวนเพิ่มเติมเพื่อสู้คดีได้อยู่แล้ว นอกจากนี้คดีดังกล่าวกับคดีสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ก็มีข้อแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในแง่กฎหมาย และขั้นตอนการปฏิบัติ

(อ่านประกอบ : เบื้องหลัง! ค้าน ปธ.ป.ป.ช.ถอนฟ้องคดีสลายพธม.-ระวังซ้ำรอยชุดขึ้นเงินเดือน?, คณะทำงาน ป.ป.ช.เคาะแล้ว! ไม่ถอนฟ้องคดีสลายพธม.ชี้ไม่มีพยานหลักฐานใหม่, คณะทำงานฯยอมแก้ไขมติ‘ไม่ควรถอนฟ้อง’คดีสลายพันธมิตรฯชงที่ประชุม ป.ป.ช.)

ขณะที่ความเห็นของกรรมการ ป.ป.ช. บางราย เมื่อทราบเรื่องนี้ ได้เปรยออกมาทำนองว่า หาก ป.ป.ช. มีมติถอนฟ้องคดีดังกล่าวจริง อาจทำให้เกิดความยุ่งยากตามมาได้ ?

โดยคณะกรรมการพิจารณาข้อเท็จจริงคดีดังกล่าว ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน จึงมีมติ ‘ไม่เห็นควรถอนฟ้อง’ คดีดังกล่าว (ตอนมีมติครั้งแรกใช้คำว่า ‘มติเอกฉันท์’ แต่มีที่ปรึกษากรรมการ ป.ป.ช. บางรายขอให้เปลี่ยนเป็นมี ‘มติ’ ธรรมดา)

ซึ่งเรื่องนี้นายสรรเสริญ ยืนยันว่า ได้นำเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว โดยคาดกันว่า ในเร็ว ๆ นี้ จะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณาว่าจะขอถอนฟ้อง หรือไม่ถอนฟ้อง

ไม่ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติออกมาในรูปแบบใด สิ่งที่กำลังถูกจับตานั่นคือ ป.ป.ช. ยังเอาจริงเอาจังอยู่หรือเปล่ากับการสู้คดีในชั้นศาลฎีกาฯ ?

เพราะภายหลังเกิดกรณี ป.ป.ช. พิจารณาเรื่องขอถอนฟ้องคดีดังกล่าวนั้น ท่าทีการต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกาฯ ก็เหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไป เห็นได้จากในการไต่สวนพยานฝ่ายโจทก์ ที่มีบุคคลมีชื่อเสียง เช่น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. คนปัจจุบัน พร้อมกับ ‘บิ๊กตำรวจ’ อีกหลายราย ต่างไม่มาศาลฯ จนศาลฯต้องเลื่อนการไต่สวนออกไปอีก

ที่สำคัญคือ ทนายฝ่ายโจทก์ (ป.ป.ช.) กลับระบุว่า ไม่ติดใจจะไต่สวนพยานบุคคลดังกล่าวอีกแล้ว จึงเหลือแค่ทนายฝ่ายจำเลยที่ยังต้องการซัก ทำให้ศาลยังต้องมีหมายเรียกให้มาเป็นพยานอยู่

ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมา มีการไต่สวนพยานฝ่ายโจทก์อีกครั้ง โดยคราวนี้มี ช่างภาพหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง และ ‘เหยื่อ’ ผู้ชุมนุมที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว เข้ามาเบิกความ เพียงแค่ 2 ราย จาก 4 ราย โดยอีก 2 รายที่เหลือ ทนายฝ่ายโจทก์ระบุว่า ติดต่อไม่ได้ และไม่ติดใจจะซักถามอีกเช่นกัน ?

ท่าทีเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้เกิดความกังวลกับบรรดาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านั้น รวมถึงเกิดการตั้งคำถามจากประชาชนว่า ตกลงแล้ว ป.ป.ช. จะยังสู้ในคดีนี้อยู่ไหม

สิ่งที่ต้องรอจับตาต่อจากนี้คือ ตกลงคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติอย่างไรในคดีดังกล่าว และหากมีมติใดมติหนึ่งออกมาแล้ว จะยังสู้คดีอย่างเต็มที่อยู่หรือไม่ในชั้นศาลฎีกาฯ

หรือว่าจะถอยหลบฉากออกมา รอเวลาเพียงศาลพิพากษาเท่านั้น ?

อ่านประกอบ :