- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- คำบรรยาย "เหนือธรรมชาติ" ฉบับ ปธ.ศาลปกครองสูงสุด!
คำบรรยาย "เหนือธรรมชาติ" ฉบับ ปธ.ศาลปกครองสูงสุด!
"..บุคคลที่รู้จักหรือเคยอ่านงานเขียนหรือเคยเรียนกับนายหัสวุฒิฯ ย่อมทราบดีถึงการมีอิทธิฤทธิ์เป็นปกติของท่าน.."
นอกเหนือจาก "เงื่อนงำ" เกี่ยวกับ "จดหมายน้อย" จำนวน 2 ฉบับ ที่นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ทำหนังสือถึงพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. และพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร. เพื่อสนับสนุนพ.ต.ท.ชูธเรศ ยิ่งยงดำรงกุล รองผกก.ป. สน.หัวหมาก เป็นผู้กำกับการ (ผกก.) โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพื่อนสนิทหลายชายนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนนำไปสู่การแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนอยู่ในขณะนี้
(อ่านประกอบ :เปิดชื่อ 5 บิ๊กตุลาการ! สอบปม "จม.น้อย"หนุนเพื่อนหลาน"หัสวุฒิ"ขึ้น"ผกก.")
หลายคนอาจจะลืมกันไปแล้วว่า "นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด" ยังมีคดีฟ้องร้องกับ นายพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรวมคำแหง อีกหนึ่งคดีในข้อหาหมิ่นประมาท
จากกรณีที่นายพุฒิพงศ์ โพสต์ภาพ นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล กำลังยืนหลับตาคล้ายกำลังบริกรรมคาถาพลางจับมือภิกษุรูปหนึ่ง และอีกภาพหนึ่งเป็นภาพนายหัสวุฒิ นั่งหลับตาคล้ายกำลังบริกรรมคาถาเหมือนภาพแรกและใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งแตะที่หน้าผากของสตรีรายหนึ่ง ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว
พร้อมบรรยายใต้ภาพเสมือนว่ามีอิทธิฤทธิ์กำลังใช้อิทธิฤทธิ์รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้
หลังจากนั้นไม่นาน นายหัสวุฒิ ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายอโนชา ชัยวงศ์ นิติกรสำนักงานศาลปกครอง แจ้งความดำเนินคดีที่ สน.ทุ่งสองห้อง ตั้งข้อหาหมิ่นประมาทโดยโฆษณา (มาตรา 328ประมวลกฎหมายอาญา) และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ (มาตรา 14 (1) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550)
ล่าสุด นายพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล ได้โพสต์ข้อความแจ้งความคืบหน้าคดีนี้ต่อสาธารณชน โดยกล่าวอ้างว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557 เจ้าพนักงานตำรวจเจ้าของคดี ได้ออกหมายเรียกไปพบที่สถานีตำรวจ
ก่อนจะแจ้งว่า หากยอมนำดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา คู่กรณีจะยอมถอนแจ้งความให้ แต่ได้ใคร่ครวญดูแล้วว่า ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา จึงปฏิเสธที่จะขอขมา และให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีตามขั้นตอนได้ทันที
นายพุฒิพงศ์ ยังได้ระบุว่า เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2557 ได้เข้าให้ปากคำต่อเจ้าพนักงานสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานหักล้างข้อกล่าวหาของนายหัสวุฒิฯ สรุปโดยสังเขป ดังนี้
ประเด็นที่ 1.ข้อหาหมิ่นประมาท
"๑.๑ ภาพของนายหัสวุฒิฯ ที่ข้าพเจ้าโพสต์นั้น แม้จะมีการนำ “บทบัญญัติกฎหมาย” ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา ๒๑ (๖) ประกอบมาตรา มาตรา ๒๒ วรรคสอง (๔) ระบุใต้ภาพดังกล่าวนั้น ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเหตุพ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองประการหนึ่งคือ ‘วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ’ นั้น การกระทำดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่า นายหัสวุฒิฯ วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบแต่อย่างใด การวางตัวบทกฎหมายไว้เฉย ๆ ย่อมมีลักษณะเป็นเชิงตั้งคำถามเพียงเท่านั้น เมื่อไม่ใช่การยืนยันข้อเท็จจริงก็ไม่เป็น ‘ใส่ความ’ จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท
๑.๒ ในเรื่องอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ เช่น การไล่ผี ก็ดี การส่งกระแสจิตคุยหรือเห็นเทพหรือสัตว์ (เช่น มังกร ครุฑ พญานาค เป็นต้น) นั้น เป็นเรื่องที่นายหัสวุฒิฯ มักบอกกล่าวในที่สาธารณะเช่น ห้องเรียนวิชากฎหมายมหาชน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี และนายหัสวุฒิฯ ก็เล่าด้วยความภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำ นายหัสวุฒิฯ หาได้เห็นว่าการที่ตนมีอิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์เป็นเรื่องที่เสียหาย และเรื่องราวลักษณะดังกล่าวตามที่ข้าพเจ้าบรรยายก็นำมาจากคำพูดของนายหัสวุฒิฯ เองทั้งนั้น ซึ่งก็มีการอัดคลิปเสียงคำบรรยายของนักศึกษาที่ศึกษาร่ำเรียนกับนายหัสวุฒิได้อัดคลิปไว้นานแล้ว
ใครพบเจอหรือเคยเรียนกับหัสวุฒิฯ ก็ย่อมทราบพฤติกรรมอวดอ้างชื่นชมอิทธิฤทธิ์ของนายหัสวุฒิฯ เป็นอย่างดี ซึ่งข้าพเจ้าก็นำคลิปเสียงพร้อมถอดเทปคำบรรยายอิทธิฤทธิ์ของนายหัสวุฒิฯ มอบแก่เจ้าพนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานด้วย
๑.๒.๑ ตามพยานหลักฐานที่ข้าพเจ้ารวบรวมไว้เบื้องต้น นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด ได้เล่าอิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์ของตนเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ในห้องบรรยายวิชากฎหมายมหาชน (น. ๒๕๐) ปริญญาตรี ภาคบัณฑิต ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เช่นว่า
(ก) การนิมิตเห็นพญานาคที่ชื่อ ภุชงค์นาคราช
[ถอดเทปคำบรรยายตั้งแต่นาทีที่ ๔๔.๐๘ ถึง นาทีที่ ๔๗.๓๓] “รองปลัด อ.บ.จ.ก็เล่าให้ฟังว่า ที่นั่นน่ะเค้าพบพญานาคหรือเห็นพญานาคหรืออะไรก็ไม่รู้น่ะผมจำไม่ได้แล้วเรื่องที่เค้าเล่า แต่ว่า ตรงหน้าที่ทำการ อ.บ.จ. ตึกใหญ่มากเลย เค้าสร้างรูปปั้นพญานาคตัวใหญ่มากเลย เรียกว่า หางไปโผล่อีกที่หนึ่ง และหัวมาโผล่ตรงหน้าที่ข้างหน้าลงไปเป็นทะเล พญานาคม้วนสองรอบสามรอบ แล้วก็ชูหัวอยู่ ก็บอกเค้าว่าอยากดูพญานาค เค้าก็พาไปดู
ลูกน้องเค้าก็เตรียมจุดธูปกันใหญ่เลย เป็นกำเลย มีกระถางธูปอะไรต่ออะไร เค้าก็จุดแล้วมาให้ผมกำหนึ่ง จะให้ผมไหว้พญานาค ผมบอก ‘ไม่ ไม่ไหว้ ผมไม่ไหว้’ แต่ผมไปยืนหน้าพญานาค ยืนข้างหน้าเลย ต้องเงยหน้ามองดูหน้าพญานาค แต่หลับตาดูนะ ไม่ใช่ลืมตาดู ก็คือ กำหนดจิตดูว่า ดูแล้ว คือต้องการรู้ว่ามีพญานาคจริงหรือเปล่า ปรากฏว่า มีจริง ๆ ด้วย พญานาคนั้นซ้อนอยู่ในรูปปั้นของพญานาคซึ่งเป็นสีเขียวนะ พญานาคที่เค้าสร้างน่ะเป็นสีเขียว เกล็ดลำตัวเป็นสีเขียว แต่พญานาคที่ผมเห็นซ้อนน่ะ มีชีวิตนะ ก็คือ ส่ายหัวได้ คือ เคลื่อนไหวน่ะ แต่ไม่ใช่สีเขียว ‘เป็นสีขาว - หนวด เป็นสีเนื้อ’
เอ่ มันยังไงกันแน่ พอเสร็จแล้ว เค้าก็ไหว้เสร็จละ ก็เลยบอกปลัด อ.บ.จ. เจ้าของสถานที่ว่า ‘พญานาคที่ผมเห็นไม่ใช่สีเขียวอย่างรูปปั้นนี้นะ แต่เป็นสีขาวนวล’ เค้าบอก อื้ม ใช่ พญานาคเป็นสีขาวนวล แต่เค้าก็อธิบายเล่าว่าทำไมถึงเป็นสีเขียว ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นสีเขียวแต่เค้าเล่าให้ฟัง
แต่จริง ๆ น่ะ ตัวจริงของพญานาคตัวนี้เป็นสีขาว แล้วชื่อว่า ‘ภุชงค์นาคราช’ เคยได้ยินมั้ย ‘ภุชงค์’ ชื่อของพญานาคตัวนี้ชื่อ ‘ภุชงค์’ แล้วที่เห็นน่ะ ใจดี”.
(ข) ‘ความสามารถในการหยั่งรู้ว่าใครเป็นอย่างไร’ และ‘การนิมิตเห็นพระพิฆเนศซ้อนอยู่ในร่างภิกษุรูปหนึ่ง’ รวมถึง ‘การไล่ผี’
[ถอดเทปคำบรรยายตั้งแต่นาทีที่ ๕๕.๓๗ ถึงนาทีที่ ๕๙.๕๕] “ถ้าผมอยากจะรู้ว่าคนนี้เป็นไงบ้าง ผมสามารถที่จะรู้ได้เลย และผมพูดว่าคนนี้เป็นยังไง ๆ ไม่เคยผิดเลยนะ และผมไปทางเหนือเนี่ย ก็จริง ๆ ไม่ใช่ทางเหนือ เป็นที่ไหนผมก็ชอบไปวัด ทีนี้ ที่ทางเหนือก็มีวัดอยู่วัดหนึ่ง จริง ๆ ไปมาหลายวัดแล้ว มีอยู่วัดหนึ่ง วัดอะไรจำชื่อไม่ได้ วัดนี้เวลาเราไปที่เชียงใหม่ เวลาเราไปก็ถามคนเชียงใหม่ วัดไหนมีพระสงฆ์หรือพระพุทธรูปก็ได้ที่เก่ง ๆ เราก็อยากไป ก็ได้ข่าวว่า วัดนี้หลวงพ่อนั้น ดุ เสียงดัง และก็มีองค์ ร.๕ เข้าใจคำว่า ‘มีองค์ ร.๕ มั้ย’ เออ น่าสนใจ เราไปเชียงใหม่อยู่หลายปี เราก็อยากไป อยากรู้ว่าท่านมีองค์ ร.๕ จริงรึเปล่า จนในที่สุดก็ได้ไปวัดนี้ พอไปวัดนี้ ตอนนั้นบ่ายสี่โมงเย็น ห้าโมง พอไปก็มีคนมาพบท่านเยอะแล้ว ก็ไปถวายสังฆทาน ก็อยากรู้ว่าท่านมีองค์ ร.๕ จริงหรือเปล่า เราก็นั่งดูท่าน ๒ ครั้ง เฮ้ย ครั้งแรกที่เห็น คือ ท่านนั่งบนอาสนะสูงสักประมาณ ๒ ขั้นบันได ที่เห็นก็คือ พระพิฆเนศซ้อนอยู่ในร่างท่าน รู้จักพระพิฆเนศมั้ย ดูสองหนก็เป็นพระพิฆเนศ อ่าว แล้วไหงบอกว่า มีองค์ ร.๕ พอถึงคิวเราเข้าไปก็บอกว่า ที่เรามาพบท่าน เพราะได้ยินกิตติศัพท์ของท่าน คือ ๑.ก็คือท่านเสียงดัง เออ ดังจริง , ท่านดุ เออ ก็พอดุอยู่นะ แต่ที่บอกว่า ท่านมีองค์ ร.๕ นั้น ที่เห็นน่ะ ‘ไม่ใช่’ คือ พระพิฆเนศ คือต้องการจะรู้ว่า ‘จริงรึเปล่า’ ท่านบอกว่า ‘ใช่’ ตอนนี้พระพิฆเนศมาโปรดอยู่ ท่านก็รีบแก้ตัวนะว่า ‘แต่เราไม่ได้ทรงนะ แต่เราผ่านทางจิต’ แต่อันหนึ่งก็คือ เป็นการพิสูจน์ละ ว่าสิ่งที่ผมเห็นน่ะ ‘จริง’ เพราะท่านรับ
พอเราไปหาท่านหรือเจอท่านที่ไหน ท่านก็มักจะบอกกับคนนู้นคนนี้ บอกกับพระ เจ้าอาวาสวัดนู้นวัดนี้ บอก ‘คนนี้เก่ง คนนี้เก่ง’ มีอยู่ครั้งหนึ่งไปที่วัดท่าน แล้วก็นั่งคุยกับท่านอยู่ แล้วท่านก็มองออกไปนอกศาลา แล้วท่านก็ชี้ให้ดู ‘ดูผู้หญิงคนนั้นสิ ที่ใส่ชุดแสด’ ผมก็หันไปดู และท่านบอกว่า ‘ผู้หญิงคนนั้นน่ะผีเข้า’ คือ มีผีสิงอยู่ เราก็นึกในใจว่า จะมาบอกเราทำไม จะให้เราไล่ผีล่ะมั้ง”.”
(ค) นอกจากนี้ งานเขียนของนายหัสวุฒิฯ เล่มหนึ่งชื่อ “หลวงพ่อพระพุทธโสธร” (พิมพ์ปี ๒๕๕๓) นายหัสวุฒิฯ ก็บรรยายข้อความเกี่ยวกับความสามารถเหนือธรรมชาติของท่านไว้อย่างเปิดเผย เช่น
[เกี่ยวกับพระธุดงค์ที่ชื่อ 'อชิรญาณ'] “ผมอยากรู้ว่าท่านเป็นใครจึงอธิษฐานจิตทำสมาธิขอดูบารมีท่าน แปลกมากเกิดภาพนิมิตอัศจรรย์เป็นภาพพระพุทธรูป ครั้งแรกเป็นภาพพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระเศียรใหญ่มาก แปลกใจกำหนดดูครั้งที่สองก็ยังคงเห็นเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่และเปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ และยังขออนุญาตท่านดูเป็นครั้งที่สาม ครั้งหลังนี้เห็นเป็นฤาษีนุ่งห่มขาวผมเครายาวขาวโพลน แล้วก็เปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่อีก จากนั้นจึงได้บอกคนในรถที่นั่งมาด้วยกันว่า “พระธุดงค์รูปนี้ท่านปรารถนาพุทธภูมินะ” ซึ่งก็ไม่มีใครพูดอะไร โดยเฉพาะท่านจรวย หนูคงท่านอาจสงสัยและประหลาดใจว่าผมรู้ได้อย่างไรก็ไม่พูด ไม่ถามอะไร” (หน้า ๒๒-๒๓)
“ท่านชื่นชมว่าดีมากที่สร้างพระพุทธสิหิงค์ พุทธลักษณะของพระพุทธรูปที่สร้างงดงามมาก จึงกราบเรียนท่านว่า หลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นผู้แนะนำให้สร้าง” (หน้า ๒๕)
“หลังจากวันนั้นผมได้รับรู้และเชื่ออย่างไม่คลางแคลงใจเลยว่า พระธุดงค์รูปนี้ก็คือมิติหนึ่งของหลวงปู่เทพโลกอุดร และรู้สึกเสียดายที่มิได้เฉลียวใจในวันนั้น เสียดายจริง ๆ ไม่รู้จะได้พบท่านอีกหรือไม่ แต่พอวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓ เจ้าหน้าที่ศาลปกครองที่ประจำอยู่ที่โรงหล่อฯ โทรเข้ามาบอกว่า ท่านอชริญาณมารออยู่ที่โรงหล่อฯ ผมกับคณะ มีท่านจรวย และคนอื่นด้วยได้รีบไปที่โรงหล่อบุญเรือนที่จรัญสนิทวงศ์ ๒๒ ทันที เมื่อไปถึง ท่านได้นั่งรออยู่ในห้องพระของโรงหล่อฯ อยู่แล้ว ผมได้เข้าไปกราบท่าน ในขณะที่กราบท่าน สังเกตเห็นว่าท่านสำรวมเหมือนเข้าสมาธิและในครั้งนี้เมื่อกราบท่านผมรีบเงยมองหน้าท่าน เห็นหน้าท่านเปลี่ยนเป็นหน้าหลวงปู่แก่หน้าเหี่ยวย่น เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะ แต่เพียงอึดใจเดียวภาพหน้าท่านก็เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติดังเดิม ไม่กล้าบอกใคร เพราะไม่รู้ว่าตาตัวเองฝาดไปเองหรือเปล่าและได้เรียกท่านว่า "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ท่านไม่พูดอะไร ผมยังได้บอกท่านว่า “อยากพบหลวงปู่มานานแล้ว” ท่านตอบกลับมาว่า “เราได้พบกันมาก่อนแล้วหลายครั้ง” ... สำหรับ “ท่านอชิรญาณ” ในความเชื่อและความรู้สึกส่วนตัวของผมท่านคือ มิติหนึ่งของหลวงปู่เทพโลกอุดร ต่อไปนี้จึงขอใช้คำเรียกท่านอชิรญาณว่า “หลวงปู่”” (หน้า ๒๖)
“หลังจากเสร็จพิธีแล้ว แขกที่มาร่วมพิธีกลับกันหมด…ผมเดินไปรอบ ๆ บริเวณพิธีอยู่ ๆ ก็ได้กลิ่นหอม หอมฟุ้งทั่วไปหมด เป็นกลิ่นที่ไม่มีในโลกนี้...จึงเดินไปเรียนถามหลวงปู่ว่า "เทพพรหมยังไม่เสด็จกลับอีกหรือ” หลวงปู่บอกว่า “เขายังอยู่กันเต็มไปหมด เขามาร่วมอนุโมทนา ยังไม่กลับ”” (เน้นอักษาตามต้นฉบับ – หน้า ๒๙)
ยิ่งไปกว่านั้น นายหัสวุฒิฯ ประธานศาลปกครองสูงสุด ยังเคยให้สัมภาษณ์ลงวารสารนิติศาสตร์ เกี่ยวกับการได้เข้าสู่ตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ว่า “ผมเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ผมต้องมาอยู่ที่ตรงจุดนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างบอกให้ผมต้องอยู่และคอยดูมัน เพราะฉะนั้นผมก็เรียกร้องกลับไปว่า ผมมาอยู่ตรงนี้ถ้าท่านไม่ช่วยผมก็ไม่ทำ” (ดู หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล, บทสัมภาษณ์พิเศษ : ทัศนคติของ ผศ.ดร.หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุดเกี่ยวกับศาลและการเรียนการสอนกฎหมายในประเทศไทย, วารสารนิติศาสตร์ ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ (ธ.ค. ๒๕๕๐) หน้า ๖๙๑.)
ฯลฯ เป็นต้น
๑.๒.๒ จะเห็นได้ว่า นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด บอกเล่าเรื่องเหล่านี้อย่างภาคภูมิใจในที่สาธารณะโดยคงจะเห็นว่า อิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์นั้น จะทำให้บุคคลอื่นที่รับทราบเกิดความรู้สึกนับถือในอิทธิฤทธิ์เช่นว่านั้น
หากนายหัสวุฒิฯ เห็นว่า การมีอิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์เช่นว่านั้นของตน เป็นเรื่องเสื่อมเสียแล้ว นายหัสวุฒิฯ ก็คงไม่พยายามเผยแพร่อิทธิฤทธิ์เช่นว่านั้นในทางสาธารณะ กล่าวได้ว่า แม้แต่ ‘ผู้แจ้งความ’ ยังเห็นว่าการมีอิทธิฤทธิ์เป็นเรื่องที่น่านับถือด้วยซ้ำ ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ตน “เสียหาย” และเป็นเรื่องที่บุคคลที่รู้จักหรือเคยอ่านงานเขียนหรือเคยเรียนกับนายหัสวุฒิฯ ย่อมทราบดีถึงการมีอิทธิฤทธิ์เป็นปกติของท่าน จึงไม่เป็น “ประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย” ได้เลย จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท
๑.๓ สำหรับข้อความที่ว่า “ไล่ผีเป่ากระหม่อม” “เฮี้ยนอยู่ตามต่างจังหวัด” นั้น วิญญูชนอ่านก็ทราบได้ว่า เป็นเรื่องหยอกล้อ หาใช่การยืนยันข้อเท็จจริงไม่ วิญญูชนย่อมทราบดีว่า มนุษย์ที่ไหนจะไป “เฮี้ยน” กันได้ และ “ผีมีที่ไหน” หรือถ้อยคำ “กำลังรักษาโรคให้ภิกษุรูปหนึ่ง” วิญญูชนคนทั่วไปก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ “เป็นไปไม่ได้” อย่างแน่แท้ด้วยวิสัยมนุษย์ธรรมดา จึงไม่ใช่ ‘ใส่ความ’ จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทไปด้วยอีกประการหนึ่ง
ประเด็นที่ ๒. ข้อหาตามมาตรา ๑๔ (๑) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรานี้เป็นเรื่องการนำเข้าข้อมูลปลอมหรือเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่ารูปภาพของนายหัสวุฒิฯ ก็เป็นภาพจริง และเป็นอิริยาบถของนายหัสวุฒิฯ เองที่ทำท่าทางเช่นนั้นเอง และมีการถ่ายรูปเผยแพร่ทั่วไป หาใช่ภาพตัดต่อไม่ ข้อกล่าวหานี้จึงขาดองค์ประกอบความผิดโดยไม่จำต้องอรรถาธิบายมากความ
(http://blogazine.in.th/blogs/phuttipong/post/4753#sthash.QyXdoBvR.dpuf)
ทั้งหมด นี่ คือ ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับคดีการฟ้องร้องหมิ่นประมาท ของประธานศาลปกครองสูงสุด กับอดีตลูกศิษย์โดยมีรูปภาพ และข้อความคำบรรยายเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นหลักฐานประกอบชิ้นสำคัญ
ชนิดที่ว่าหากใครที่มีโอกาสได้ดู ได้รู้ ได้อ่าน ได้เห็น อาจจะต้องถึงกับอึ้งเลยทีเดียว