ม.44 เด้ง‘ปลัดดิจิทัล’ ปมขยายไฮสปีดเน็ต 1.5 หมื่นล.-สัมปทานไทยคม 8
คำสั่งหัวหน้า คสช. ใช้ ม.44 เด้งฟ้าผ่า ‘ปลัดกระทรวงดิจิทัล’ ไปเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกฯ ปมสัมปทานดาวเทียมไทยคม 8-ทำโครงการขยายไฮสปีดอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ ลงทุน 1.5 หมื่นล้าน แต่ถูก สตง. ตรวจสอบพบสารพัดข้อพิรุธ-ปัญหาการดำเนินงาน ให้ ผอ.สำนักงานสถิติแห่งชาตินั่งเก้าอี้แทน
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 66/2559 เรื่อง การกำหนดตำแหน่งและแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง
คำสั่งดังกล่าว ระบุว่า โดยที่เป็นการสมควรกําหนดตําแหน่งและแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการในกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ นางทรงพร โกมลสุรเดช พ้นจากตําแหน่ง ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ตรวจราชการและเป็นที่ปรึกษาด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ข้อ 2 ให้ นางสาววิไลลักษณ์ ชุลีวัฒนกุล พ้นจากตําแหน่ง ผู้อํานวยการสํานักงานสถิติแห่งชาติ และให้ดํารงตําแหน่ง ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ข้อ 3 ให้ข้าราชการผู้มีรายชื่อตามข้อ 1 และข้อ 2 พ้นจากตําแหน่งเดิมและไปปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งใหม่ตั้งแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ
การเปลี่ยนแปลงตําแหน่งภายหลังวันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ ให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีพิจารณา
ข้อ 4 ให้สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สํานักงบประมาณ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดําเนินการเกี่ยวกับตําแหน่งและอัตราเงินเดือนของข้าราชการดังกล่าว และให้นายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่ง หรือพ้นจากตําแหน่งตามคําสั่งนี้ ตามมาตรา 24 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557
ข้อ 5 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2559
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(อ่านคำสั่งประกอบ : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/E/253/47.PDF)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ทำโครงการว่าจ้างดำเนินการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (ไฮสปีดอินเทอร์เน็ต) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ มูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าไปตรวจสอบ พบข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า โครงการดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงและมีปัญหาในการดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนในโครงการดังกล่าวสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งควรเป็นงบลงทุนที่ควรต้องมีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ แต่สำนักงานปลัดไอซีทีได้รับอนุมัติงบกลางเมื่อกลางปี 2559 ในหมวดรายจ่ายอื่น ทำให้ต้องเร่งรีบก่อหนี้ผูกพันให้ทันภายในเดือน ก.ย. 2559 เพื่อไม่ให้งบประมาณตกไป ทั้งที่มีกำหนดเวลาโครงการไว้ที่ 12 เดือน จึงเกิดการดำเนินงานอย่างเร่งรีบ อาจทำให้เกิดความไม่รอบคอบได้
นอกจากนี้โครงการดังกล่าวอาจทับซ้อนกับโครงการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม ขณะเดียวกันการดำเนินตามร่างขอบเขตงาน (TOR) ก็ไม่เป็นตามขั้นตอน เนื่องจากมีการนำ TOR ที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากผู้มีอำนาจไปจัดทำประชาพิจารณ์ ต่อมามีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอีกหลายครั้ง ทำให้ TOR แตกต่างกัน ผลประชาพิจารณ์ที่ได้รับจึงไม่อาจนำมาใช้ในการพิจารณาได้
(อ่านประกอบ : ชำแหละจุดตายไฮสปีดอินเทอร์เน็ตไอซีทีหมื่นล.ฉบับ สตง.! เร่งรีบ-ส่อสูญเปล่า)
นอกจากนี้ยังมีกรณีกระทรวงไอซีทีได้ดำเนินตามนโยบายรัฐบาลในการจัดเก็บค่าสิทธิในเอกสารข่ายงานดาวเทียม และค่าสิทธิในการใช้คลื่นความถี่ข่ายสื่อสารดาวเทียม โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประกอบพิจารณาอนุญาตให้บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) นำดาวเทียมไทยคม 8 ขึ้นสู่วงโคจร
อย่างไรก็ดีสำนักงาน กสทช. เคยทำหนังสือสอบถามปลัดกระทรวงไอซีที 2 รอบ สรุปได้ว่า ในการดำเนินการดังกล่าว มีแนวทางการดำเนินการจัดเก็บค่าสิทธิในเอกสารข่ายงานดาวเทียม และค่าสิทธิการใช้คลื่นความถี่ข่ายสื่อสารดาวเทียม ได้ดำเนินการในเรื่องนี้ทั้งในส่วนที่เป็นโครงข่ายดาวเทียมสื่อสารตำแหน่งวงโคจร 88.5 องศาตะวันออก (ไทยคม 8) และตำแหน่งวงโคจร 119 ตะวันออก (ไทยคม 9) เพื่อรักษาผลประโยชน์และป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่รัฐแล้วหรือไม่ อย่างไรด้วย