“อุกฤษ” เตือน ศาล รธน.อาจละเมิดพระราชอำนาจ-แนะยกคำร้อง
“อุกฤษ” ชี้ศาล รธน.อาจละเมิดพระราชอำนาจ เหตุร่างแก้ไขรธน. นายกฯส่งทูลเกล้าแล้ว แนะยกคำร้องเพราะไม่มีอำนาจ เตือนเดินต่อหาก ส.ส.-ส.ว.ไม่ทำตาม จะทำอย่างไร

เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2556 ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) กล่าวระหว่างการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับทางรอดประเทศไทย” ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ (ศาล รธน.) เตรียมวินิจฉัยคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มา ส.ว.ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในวันที่ 20 พ.ย.2556 ว่า วันนี้บ้านเมืองจะอยู่รอดหรือไม่ อยู่ที่พวกเรารวมถึงตุลาการศาล รธน.ทั้ง 9 คน เพราะบ้านเมืองเรามีระบบการปกครองโดยแยกอำนาจอกเป็น 3 ฝ่าย คือบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ศาล รธน.เป็นแค่เสารองไม่ใช่เสาหลัก แม้คำวินิจฉัยของศาล รธน.จะผูกพันทุกองค์กร แต่คำวินิจฉัยนั้นต้องชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นต้องขอให้ระวังให้ดี
“ผมขอเตือนด้วยความหวังดี เรื่องนี้อยู่ในอำนาจของพระเจ้าอยู่หัว ท่านกล้าวินิจฉัยหรือ ถ้าท่านบอกว่าท่านมีอำนาจ ระวังท่านจะละเมิดพระราชอำนาจ อาจจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทางออกที่ดีที่สุด ขอแนะนำด้วยความหวังดี และไม่มีใครเสียหน้า ท่านไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องนี้ เพราะนายกรัฐมนตรีได้นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทูลเกล้าฯแล้ว” นายอุกฤษกล่าว
นายอุกฤษกล่าวว่า แต่สมมุติท่านจะเดินหน้าต่อไป ท่านรับผิดชอบไหวหรือ เพราะเท่ากับท่านละเมิดพระราชอำนาจ เนื่องจากสมมุติว่า พระเจ้าอยู่หัวไม่พระราชทานกลับมาใน 90 วัน ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะตกไป แล้ว ส.ส.กับ ส.ว.ต้องกลับมาคิดกันว่าจะยืนยันหรือไม่ ซึ่งตนไม่คิดว่าจะมีใครกล้ายืนยัน ขอเตือนสั้นๆ ว่าอย่าละเมิดพระราชอำนาจ เพราะท่านจะเป็นเหยื่อการเมืองของทั้ง 2 ฝ่าย สมมุติมีคนบาดเจ็บล้มตาย ท่านรับผิดชอบไหวหรือ นอกจากนี้ สมมุติว่าศาล รธน.ยังยืนยันว่าทำได้ แล้วฝ่ายนิติบัญญัติบอกว่าไม่รับ ท่านจะทำอย่างไร ดันทุรังต่อไปไหวไหม อยู่ต่อไปไหวไหม ท่านมีบทบังคับอะไรให้ ส.ส.และ ส.ว.ทั้ง 312 คนต้องทำตาม
ด้านนายโภคิน พลกุล ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบที่รัฐธรรมนูญวางไว้อย่างเคร่งครัด ซึ่งศาลมีกรอบที่วางไว้ คือตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 197 และมาตรา 201 ต้องตัดสินคดีตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมาย และต้องสังวรณ์ว่าถ้าไม่เป็นไปตามนั้น มันกระทบกระเทือนต่อพระปรมาภิไธย นอกจากนี้ ศาลต้องตัดสินให้เกิดสันติสุข ไม่เช่นนั้นจะเกิดกลียุค
นายโภคินกล่าวอีกว่า การออกกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ไม่ใช่เรื่องสิทธิเสรีภาพ ที่จะเข้าข่ายยื่นคำร้องต่อศาล รธน.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ได้ นอกจากนี้ ที่กล่าวหาเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน มันเป็นเรื่องข้อบังคับ ถ้าศาล รธน.ยังข้ามไปชี้อีก มันจะใช่หรือไม่ เพราะเรายังไม่รู้เลยว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ศาล รธน.จะมีอำนาจชี้หรือไม่ เพราะมันเป็นเรื่องของข้อบังคับ ซึ่งต่างจากเรื่ององค์ประชุม ที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ด้านนายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถามว่ารัฐธรรมนูญแก้ได้หรือไม่ คำตอบคือแก้ได้ แต่ต้องอยู่ในกฎกติกา และไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆ รวมถึงไม่กระทบกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ถามว่าศาล รธน.มีอำนาจตรวจสอบการทำงานของรัฐสภาหรือไม่ คำตอบคือได้ เพราะประเทศเราใช้หลักรัฐธรรมนูญสูงสุด ไม่ใช่รัฐสภาสูงสุด รัฐธรรมนูญ ปี 2550 กำหนดให้ศาล รธน.มีอำนาจในการปกป้องรัฐธรรมนูญ เห็นได้จากรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ซึ่งที่ศาล รธน.รับคำร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว. ก็อ้างอำนาจในส่วนนี้ นอกจากนี้ ศาล รธน.ยังเกิดขึ้นเพื่อให้อำนาจ 3 ฝ่าย คือบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ มีดุลยภาพระหว่างกัน ตนจึงเห็นว่าศาล รธน.มีอำนาจรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาได้
“มาถึงเรื่องเนื้อหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ดังนั้น ใครต้องการเป็น ส.ว.จึงต้องอาศัยฐานคะแนนเสียงจากพรรคการเมือง หาก ส.ว.เป็นพวกเดียวกับรัฐบาล รัฐบาลก็จะไม่ฟังเสียงประชาชน” นายถาวรกล่าว
นายถาวรกล่าวว่า ฝ่ายผมจะยอมรับคำวินิจฉัยของศาล รธน. แต่ก็กังวลการออกมาปล่อยข่าวว่ามีตุลาการศาล รธน. 2 คน ไปพบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี ปชป. อยากให้ระบุชื่อมาจะได้ขอให้ถอนตัวเสีย ทั้งนี้ อยากขอให้ตุลาการศาล รธน.มีความกล้าวินิจฉัยใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา อย่าไปหวั่นต่ออิทธิพลใดๆ
ภาพประกอบ - อุกฤษ มงคลนาวิน จากเว็บไซต์ www.komchudluek.net
