"เจษฎ์ โทณวณิก" : เสียงเตือนถึง "คกก.สรรหาสปช." สายตรงจาก คสช.?
"ดังนั้น กระบวนการทำงานสปช. ทั้งในส่วนคณะกรรมการสรรหา ร่วมถึงตัวของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็น สปช. จะต้องเปิดกว้าง โปร่งใส และปราศจากการแทรกแซงของผู้มีอำนาจ เพื่อให้งานส่วนนี้ เป็นสิ่งมีค่า ไม่กลายเป็นช่องโหว่ ให้นักการเมืองเข้ามาทำลายล้มล้างได้ในอนาคต"
จากกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกประกาศการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จำนวน 77 คน เพื่อทำหน้าที่ในการสรรหา สปช. เข้ามาปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ และปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเปิดรับสมัครผู้เข้ารับการสรรหา สปช. นั้น
(อ่านประกอบ : เปิดชื่อ 77 กก.สรรหาสภาปฏิรูปฯ “บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก-หม่อมอุ๋ย-พรเพชร”นำทีม)
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้มีโอกาสพูดคุยกับ รองศาสตราจารย์ ดร.เจษฎ์ โทณวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ถึงความเห็นและมุมมองทางวิชาการเกี่ยวกับรายชื่อของคณะกรรมการสรรหา สปช. ที่จะเริ่มทำหน้าที่สรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นสปช.ในด้านต่างๆ
ดร.เจษฎ์ มองว่า การสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำหน้าที่เป็น สปช. เพื่อปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ เป็นสิ่งที่ดี น่าสนับสนุน
แต่ในขั้นตอนการดำเนินการควรเปิดกว้าง และปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการปกติ ผู้มีอำนาจไม่ควรเข้ามาแทรกแซง โดยเด็ดขาด
"ผมเป็นห่วงรายชื่อบุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสรรหา สปช.มาก เพราะหากพิจารณาให้ดี จะพบว่ารายชื่อคณะกรรมการแต่ละด้าน จะมีบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด หรือเรียกว่าเป็นสายตรงของ คสช.เข้ามาร่วมอยู่ด้วย"
"คำถามที่น่าสนใจตามมาก็คือ เมื่อถึงเวลาที่มีการคัดเลือกบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา สปช.แต่ละด้าน บุคคลเหล่านี้ จะขึ้นไปทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาเองหรือไม่ เมื่อได้เป็นแล้วจะทำให้การทำงานของคณะกรรมกาคนอื่นเป็นอิสระหรือไม่ คณะกรรมการคนอื่นได้รับเลือกเข้ามาทำงาน มาจากความสนิทสนม ดึงกันเข้ามาหรือไม่"
"เพราะถ้าเป็นแบบนั้น การทำงานของคณะกรรมการสรรหาแต่ละด้าน จะถูกมองว่าไม่เปิดกว้าง เท่าที่ควร มีการแทรกแซงอยู่เบื้องหลัง ซึ่งจะทำงานกันได้ไม่อิสระ เพราะจะมีความเกรงใจกันเกิดขึ้น"
ดร.เจษฎ์ ยังย้ำว่า การเปิดกว้าง การทำอะไรที่ทำให้ภาพของคณะกรรมการสรรหา สปช. ตัดขาดและแยกส่วนจาก คสช. เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เพราะต้องไม่ลืมว่า หลังจากที่บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีการเลือกตั้งใหม่ ฝ่ายการเมืองจะกลับเข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ และจะสามารถนำข้ออ้างเรื่องนี้ มาใช้เป็นเหตุผลในการล้มล้างการปฏิรูปในแต่ละด้านที่ทำไว้ได้
"ใครจะไปทำอะไร ใครจะมาเป็นสนช. ผมไม่สนเลย แต่เรื่องสปช. ผมว่าสำคัญมาก เพราะมันเป็นงานสำคัญในการพัฒนาประเทศ มันควรจะเปิดเผยและโปร่งใส ทำกันด้วยระบบที่เปิดกว้าง ผู้มีอำนาจต้องยอมรับความเห็นในมุมที่แตกต่าง เพื่อนำพาไปสู่การปฏิรูปประเทศอย่างจริงจริง ของคนทุกกลุ่ม"
"ถ้ายังทำอะไรกันแบบพวกเขาพวกเรา ทำงานบนพื้นฐานคำว่าเกรงใจกัน เอาพวกตน เอาคนรู้จักใกล้ชิดเข้ามาทำงานกันเอง การปฏิรูปประเทศครั้งนี้ จะกลายเป็นกิจกรรมเสียเปล่าในอนาคต"
"เพราะตอนนี้ นักการเมืองเขาไม่ทำอะไรหรอก นอกจากนั่งเล่นไลน์ เพื่อนับวันที่จะลงเลือกตั้ง และถ้าเราทำกันแบบนี้ ถามหน่อยพวกนักเมืองจะยอมรับหรือไม่ ประชาชนบางกลุ่มจะยอมรับหรือไม่"
"ดังนั้น กระบวนการทำงานสปช. ทั้งในส่วนคณะกรรมการสรรหา ร่วมถึงตัวของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็น สปช. จะต้องเปิดกว้าง โปร่งใส และปราศจากการแทรกแซงของผู้มีอำนาจ เพื่อให้งานส่วนนี้ เป็นสิ่งมีค่า ไม่กลายเป็นช่องโหว่ ให้นักการเมืองเข้ามาทำลายล้มล้างได้ในอนาคต"
"เพราะงานส่วนนี้ มันควรมาจากคนที่ตั้งใจ ที่จะปฏิรูปประเทศ เพื่อนำไปสู่สังคมที่ดีขึ้นจริงๆ " ดร.เจษฎ์ กล่าวย้ำหนักแน่น
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก nationtv.tv