คำแถลง ป.ป.ช.ฟันอาญา“ปู”คดีข้าว : เสียหายร้ายแรงที่สุดของปท. (ฉบับเต็ม)
“…ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหามีอำนาจหน้าที่โดยตรงที่จะต้องพิจารณายุติหรือยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดการทุจริตและระงับยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายจากการดำเนินโครงการมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นสภาพความเสียหายที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศ…”
หมายเหตุ : เป็นมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 7 – 0 เสียง ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าว
----
ประเด็นต้องวินิจฉัยตามคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาประการแรกว่า
กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกข้อสงสัยว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การแต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นไปโดยเร่งรีบอย่างเป็นพิเศษหรือไม่ การไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นไปโดยเร่งรีบอย่างเป็นพิเศษหรือไม่ การรับฟังคำให้การของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวรงค์ เดชกิจวิกรม ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า
กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกกล่าวหาได้เพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวตามที่มีอำนาจหน้าที่ ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายนั้น ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 66 บัญญัติว่า ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีผู้กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี … ร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว
ดังนั้น การยกข้อสงสัยและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนที่ผู้กล่าวหาอ้างว่าการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นไปด้วยความเร่งรีบอย่างเป็นพิเศษนั้น ตามมาตรา 66 ได้บัญญัติให้ดำเนินการไต่สวนโดยเร็ว
ดังนั้นการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีนี้โดยเร็ว จึงชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนนั้น ไม่ปรากฏว่าเป็ฯบุคคลต้องห้ามไม่ให้ร่วมในการไต่สวนข้อเท็จจริง ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 46
ดังนั้น การแต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนจึงชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนการรับฟังคำให้การของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวรงค์ เดชกิจวิกรม นั้น ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 48 บัญญัติว่า ในการไต่สวนข้อเท็จจริงห้ามมิให้ทำหรือจัดให้ทำการใด ๆ ซึ่งเป็นการล่อลวงหรือขู่เข็ญหรือให้สัญญากับผู้ถูกกล่าวหาหรือพยานเพื่อจูงใจให้เขาได้ถ้อยคำอย่างใด ๆ ในเรื่องที่กล่าวหานั้น
ดังนั้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กล่าวอ้างว่ามีการกระทำดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงชอบที่จะรับฟังคำให้การของบุคคลดังกล่าวได้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเสียงข้างมากด้วยคะแนน 7 : 0 เสียง เห็นว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่าการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ฟังไม่ขึ้น
มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า
การที่รัฐบาลของผู้ถูกกล่าวหาดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกโดยกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าตลาด เมื่อมีการระบายข้าวที่รับจำนำได้เกิดผลขาดทุนจำนวนมาก แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ระงับยับยั้งโครงการ โดยยังคงดำเนินโครงการต่อมาจนเกิดผลขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้นจำนวนมากนั้น
การกระทำดังกล่าวมีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเสียงข้างมากด้วยคะแนน 7 : 0 เสียง เห็นว่าการที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งได้กำหนดนโยบายการรับจำนำข้าวมาตั้งแต่ต้น และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและมีส่วนร่วมในการบริหารโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ได้กำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกสูงกว่าราคาตามท้องตลาดเกินกว่าที่ควรคาดหมายได้ตามปกติ อันมีลักษณะเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด และในการดำเนินโครงการปรากฏว่าได้เกิดการทุจริตในทุกขั้นตอน ทั้งการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การสวมสิทธิ์เกษตรกร โกงความชื้น โกงตาชั่ง นำข้าวมาเวียนเข้าโครงการ การลักลอบนำข้าวออกจากคลัง
ในส่วนของการระบายข้าวที่รับจำนำมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองมาช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ข้าวจากโครงการไปจำหน่าย เกิดระบบนายหน้าค้าข้าว ไม่เปิดประมูลข้าวอย่างเปิดเผย การทุจริตดังกล่าวได้ก่อให้เกิดภาระรายจ่ายของรัฐและภาวะขาดทุนเป็นจำนวนมาก ทั้งการอุดหนุนเกษตรกรและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น การสีแปรสภาพ การขนส่ง การเก็บรักษา และยังอาจมีปัญหาข้าวเสื่อมคุณภาพ ขายข้าวขาดทุน ข้าวสูญหายจากโกดัง รัฐบาลกลายเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ ทำลายระบบการค้าข้าวโดยเสรี โรงสีและผู้ส่งออกนอกโครงการไม่สามารถจัดหาซื้อข้าวได้เพียงพอ โรงสีในโครงการและผู้ส่งออกที่ชนะการประมูลข้าว จะมีการค้าขายที่มีข้อได้เปรียบโรงสี และผู้ส่งออกนอกโครงการ ตลอดจนราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียตลาดส่งออกที่สำคัญ
การรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ด โดยไม่จำกัดพื้นที่ผลิตและวงเงินของการรับจำนำ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายต่อโครงการอย่างยิ่ง จากการนำข้าวจากประเทศเพื่อบ้านมาสวมสิทธิ์ ตลอดจนปริมาณรับจำนำสูงเกินกว่าข้อเท็จจริง แต่คุณภาพข้าวต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ
ต่อมา เมื่อมีการระบายข้าวที่รับจำนำได้เกินผลขาดทุนเป็นจำนวนมาก และผู้ถูกกล่าวหาได้รับรู้รับทราบจากรายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และยังรับทราบว่ามีการทุจริตในทุกขั้นตอนของการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวนับล้านครอบครัวที่ยังไม่ได้รับเงินทำให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหลายรายถึงกับฆ่าตัวตาย
จึงเป็นกรณีจำเป็นที่ผู้ถูกกล่าวหาในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณายับยั้งโครงการตั้งแต่เริ่มรับทราบว่ามีการทุจริตในการดำเนินโครงการและความเสียหายต่าง ๆ จากการดำเนินโครงการ แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหามีอำนาจหน้าที่โดยตรงที่จะต้องพิจารณายุติหรือยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดการทุจริตและระงับยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายจากการดำเนินโครงการมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นสภาพความเสียหายที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศ
การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวจึงมีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ให้ส่งรายงานและเอกสารพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามฐานความผิดดังกล่าวตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 70
อ่านประกอบ :
ป.ป.ช.มติ 7:0 ฟันอาญา"ยิ่งลักษณ์" คดีทุจริตจำนำข้าว-ขาดทุนยับ5แสนล.
“วิชา” ลั่นชี้มูลคดีจำนำข้าว ไม่เกี่ยว“ปู”บินไปนอก ยันทำเต็มที่แล้ว