ปฏิบัติการปิดกรุง แบบฉบับ “สิงห์นักปั่น”
“กลุ่มนักปั่น” หรือสิงห์จักรยานที่ต่างปั่นจักรยานคู่ใจของตนมาร่วมชัตดาวน์กรุงเทพฯ กันอย่างคึกคัก บ้างมาเป็นขบวนใหญ่ บ้างมาเดี่ยว บ้างมาเป็นคู่ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีไม่ต่างกันก็คือความมุ่งมั่นตั้งใจที่แฝงไว้ภายใต้ท่าทีเรียบง่ายแต่หนักแน่นชัดเจนในจุดยืน
การชัตดาวน์กรุงเทพฯ โดยกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่ต่อเนื่องมานับแต่วันที่ 13 ม.ค. นั้น สิ่งหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับขบวนของมวลมหาประชาชน คือ “กลุ่มนักปั่น” หรือสิงห์จักรยาน ที่ต่างปั่นจักรยานคู่ใจของตนมาร่วมชัตดาวน์กรุงเทพฯ กันอย่างคึกคัก บ้างมาเป็นกลุ่มคณะ เป็นขบวนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 10-20 คัน บ้างมาเดี่ยว บ้างมาเป็นคู่ เป็นแก๊ง ซึ่งแม้จำนวนจะต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวจักรยานมีไม่ต่างกันก็คือความมุ่งมั่นตั้งใจที่แฝงไว้ภายใต้ท่าทีเรียบง่าย สบายๆ แต่หนักแน่นชัดเจนในจุดยืน
“สำนักข่าวอิศรา” ไม่ปล่อยให้พวกเขาเหล่านี้ “ปั่น” เลยไปโดยไม่ถามไถ่ถึงจุดยืนทางการเมืองและแนวทางการปฏิรูปประเทศที่พวกเขาอยากเห็น
นายกษิดิ เกษมสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Thai Ncc และเจ้าของเฟซบุ๊ค CaseyKasem BlueSushi ซึ่งเป็นศูนย์กลางข้อมูลข่าวสารของกลุ่มคนรักการปั่นจักรยานที่มารวมตัวกันครั้งนี้ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราว่า
“เหตุผลที่เข้าร่วมขบวนชัตดาวน์กรุงเทพฯ ก็เพราะคาดหวังให้รัฐบาลนี้ลาออกไปเพื่อปลดปล่อยประเทศไทย”
นายกษิดิบอกว่าเขาเข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมกับ กปปส. แทบทุกที่ ทุกเวทีก่อนหน้าที่จะมีการชัตดาวน์ปิดเมืองหลวง ไม่ว่าการชุมนุมที่หน้าบ้านนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ หรือเวทีที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ หรือแม้แต่ที่กระทรวงแรงงาน ซึ่งมีเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรง เขาก็อยู่ร่วมด้วย ทำให้รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมที่ได้รับ เพราะมีการใช้กระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมนุม
นายกษิดิกล่าวว่า สิ่งที่เขาคาดหวังอยากให้เกิดขึ้น คือการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
“ไม่ใช่ว่าเราไม่เอาการเลือกตั้งนะ เราต้องการให้มีการเลือกตั้ง แต่ต้องเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรมจริงๆ และมีความโปร่งใส เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”
นายกษิดิกล่าวว่า การรวมตัวกันมาร่วมปั่นจักรยานชัตดาวน์กรุงเทพฯ แสดงจุดยืนทางการเมืองครั้งนี้ นัดรวมตัวกันผ่านเฟซบุ๊ค ทั้งในชื่อกลุ่ม และเฟซบุ๊คที่เขาก่อตั้งขึ้น โดยนัดรวมพลกันที่ลานคนเมือง ที่ว่าการกรุงเทพมหานคร ก่อนจะรวมตัวขี่จักรยานมุ่งหน้าสู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และบริเวณที่ตั้งของเวทีปราศรัยสำคัญในย่านใจกลางกรุง
การรวมตัวกันปั่นจักรยานของ กษิดิและสมาชิกนักปั่นกลุ่มนี้ มิใช่เพียงขี่จักรยานมาเข้าร่วมแสดงจุดยืนเท่านั้น แต่พวกเขายังมีกิจกรรมพิเศษเฉพาะในกลุ่มด้วย นั่นคือมีวิทยากรคอยบรรยายประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์การเมืองไทย ขณะปั่นจักรยานผ่านสถานที่สำคัญแต่ละแห่ง
“เรามีวิทยากรคอยให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของแต่ละที่ที่เราผ่าน โดยจะหยุดแวะพักตามจุดต่างๆ ด้วย เช่น ตอนปั่นจักรยานมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วิทยากรก็จะบรรยายถึงที่มาของอนุสาวรีย์นี้ อธิบายถึงความเกี่ยวพันกับเหตุการณ์อภิวัฒน์ พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร อธิบายให้รู้ว่าที่นี่มีการบรรจุปืนใหญ่ไว้ด้วย แต่เป็นปืนใหญ่ที่หันกระบอกปืนลงพื้น ซึ่งมีนัยที่หมายถึงสันติภาพ นับแต่นี้ไม่มีสงครามอีกต่อไป”
กำหนดการณ์ปั่นจักรยานเพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมืองครั้งนี้ พวกเขายังไปเยือนบริเวณแยกศาลาแดง เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ว่าด้วยการก่อตั้งสภากาชาดไทย รากฐานของการสาธารณสุข, ไปแยกอโศก เพื่อรับฟังวิทยากรบรรยายถึงความสำคัญของสยามสมาคม องค์กรสำคัญที่ทำหน้าที่อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมไทย ซึ่งตั้งอยู่ ณ บริเวณนี้, เมื่อมาเยือนแยกราชประสงค์ พวกเขาจะร่วมกันเรียนรู้ถึงการขยายตัวของพระนครด้านตะวันออกในยุคบุกเบิก, การสร้างวังสระประทุม และย่านราชประสงค์ในรัชสมัยของพระพุทธเจ้าหลวง เป็นต้น เหล่านี้ คือกิจกรรมที่กษิดิกล่าวว่า พวกเขาจัดกันอย่างต่อเนื่อง โดยมีวิทยากรผู้คอยให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของสถานที่ต่างๆ จึงกล่าวได้ว่า นอกจากเข้าร่วมเพื่อแสดงจุดยืนทางการเมืองแล้ว สิงห์นักปั่นกลุ่มนี้ยังยึดโยงประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคสมัยเข้ากับการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงในเหตุการณ์ปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจ
ด้าน นายฉลองชัย จันทร์เพ็ญ วัย 63 ปี โค้ชนักมวยทีมชาติไทยชุดคว้าเหรียญทองจากเนปิดอว์เกมส์มาหมาดๆ ซึ่งครั้งนี้ เขามาในมาดสิงห์นักปั่นที่ฉายเดี่ยวอย่างสบายอารมณ์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิศราว่าก่อนวันชัตดาวน์ เขามักมาร่วมการชุมนุมของ กปปส. ที่เวทีราชดำเนินแทบทุกครั้ง โดยแต่ละครั้งก็จะปั่นจักรยานมาจากบ้านที่ตลิ่งชัน ไม่เว้นแม้แต่การเข้าร่วมกิจกรรมชัตดาวน์ครั้งนี้ ก็ปั่นมาจากตลิ่งชันเช่นกัน สำหรับเขา จักรยานเป็นพาหนะที่คล่องตัว สะดวกสบาย ขับขี่ซอกแซกไปได้ไม่ลำบาก และไม่กีดขวางการจราจรด้วย ส่วนเหตุผลสำคัญที่เข้าร่วมการชัตดาวน์ครั้งนี้ ฉลองชัยกล่าวแบบฉายภาพการเมืองไทยนับแต่อดีตที่เขาเคยประสบมาว่า
“ผมเคยผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มาแล้ว ตอน 14 ตุลา ประชาชนออกมากันเยอะมาก แต่ตอนนั้นเป็นการต่อต้านทรราชย์ที่เป็นทหาร แต่ครั้งนี้เป็นการต่อต้านทรราชย์ที่เป็นนายทุน พอมาถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา ก็ต่อต้านจอมพลถนอม ประพาส ณรงค์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นนองเลือดเพราะมีการเสี้ยมให้เกิดการเข่นฆ่าประชาชน พอมาถึง พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ที่ประชาชนสู้กับนักการเมือง ส่วนการปฏิวัติในปี 2549 นั้น ไม่เกิดผลดี ไม่ได้มาจากประชาชน แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นการปฏิวัติโดยประชาชนอย่างแท้จริง”
นายฉลองชัยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วยว่า เขาไม่ได้เห็นด้วยกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปทั้งหมด แต่ในเวลานี้เป็นการสู้กับระบบการเมืองที่ทุจริต เขาจึงต้องออกมาร่วม
“ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นี้ ดีใจที่ประชาชนลุกขึ้นมาสู้อย่างสันติ และประชาชนทุกกลุ่มเลย แม้แต่นักเรียน นิสิต นักศึกษาที่เราเคยตั้งคำถามว่านักศึกษาวันนี้เขาชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองอะไรกันบ้างไหม วันนี้เราก็ได้เห็นแล้ว วันนี้สิ่งที่รัฐบาลทำคือการปกปิด บิดเบือนความจริงหลายอย่าง ผมอยากฝากถึงรัฐบาลว่า เขาสู้ไปก็ไร้ประโยชน์ วันนี้คุณยิ่งลักษณ์ล้มเหลวทางการเมืองแล้ว เพียงแค่โครงการรับจำนำข้าวก็ทำให้ชาวนาเป็นทุกข์มาก วันนี้คนที่ทุกข์ที่สุดคือชาวนา ผมเพิ่งกลับจากสุพรรณบุรีไม่นานมานี้ เป็นไปได้อย่างไร ข้าวเกวียนละ 6,000 บาท ประชาชนเดือดร้อนกันมาก ยังไม่นับโครงการอื่นๆ ที่มีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส ดังนั้น ถึงที่สุดแล้วผมเชื่อว่าประชาชนจะปฏิวัติสำเร็จ” นายฉลองชัยระบุ ก่อนปั่นจักรยานคู่ใจมุ่งหน้าสู่เวทีปราศรัยที่แยกปทุมวัน
