Applying Filtering

logo isranews

logo small 2

เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม!พฤติกรรม ‘ชูชีพ-วิทยา’ ทุจริตจัดซื้อปุ๋ย 407 ล.- คุกคนละ 6 ปี

เขียนวันที่
วันอาทิตย์ ที่ 14 สิงหาคม 2559 เวลา 20:30 น.
เขียนโดย
isranews

อ่านชัด ๆ คำพิพากษาทางการฉบับเต็ม คดีประวัติศาสตร์ทุจริตจัดซื้อปุ๋ย 407.8 ล้าน ก.เกษตรฯ พฤติกรรมละเอียด 'ชูชีพ-วิทยา' บิดเบือน เร่งรีบอนุมัติ เมินความเห็น ส.ส.ร่วมพรรค  ก่อนศาลฎีกาฯ สั่งจำคุก คนละ 6 ปี

14859 shuwitay 00

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2559 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อดีต ส.ส.ปทุมธานี และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย (จำเลยที่ 1) และนายวิทยา เทียนทอง อดีตเลขานุการ รมว.เกษตรฯ (นายชูชีพ) และอดีต ส.ส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย (จำเลยที่ 2) คนละ 6 ปี ความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ระหว่างวันที่ 17 ก.พ. 2544 ถึงวันที่ 20 ก.ย. 2545 กรณี ร่วมกันทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรฯ จำนวน 140,637,880 กิโลกรัม วงเงิน 407,849,852 บาท

ล่าสุดวันที่ 11 ส.ค.2559 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำพิพากษาคดีดังกล่าว (คดีหมายเลขแดงที่ อม 60/2559) จำนวน 36 หน้ากระดาษ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปสาระสำคัญของคำพิพากษามาเสนอ ดังนี้

องค์คณะผู้พิพากษา เห็นว่า สำนวนการสืบสวนสอบสวนของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าว มีการสอบสวนพยานหลักฐานโดยละเอียดถี่ถ้วน เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 จากพยานหลักฐานดังกล่าว มีความเชื่อมโยงให้เห็นถึงข้อพิรุธหลายประการว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในครั้งนี้มีความผิดปกติส่อไปในทางไม่สุจริต มีการดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลผู้ประกอบธุรกิจ รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542

นอกจากนี้ ยังปรากฏว่า มีการร้องเรียนจากหลายฝ่ายว่ามีการทุจริตในการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (1) ในท้ายที่สุด ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด ก็ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วนได้อย่างแท้จริง จนต่อมามีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยมีการปฏิบัติที่ส่อไปในทางไม่สุจริต ข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงบ่งชี้ว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ มีความผิดปกติมาตั้งแต่ต้น

โดยเกษตรกรส่วนใหญ่ ต้องการความช่วยเหลือเป็นปุ๋ยเคมี แต่มีการเปลี่ยนแปลงความช่วยเหลือเกษตรกรเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งเดียวเป็นจำนวนมากถึง 140,637,880 กิโลกรัม ด้วยการรวบรวมความช่วยเหลือหลายภัยมาดำเนินการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในคราวเดียวที่ส่วนกลาง ประกอบด้วย ภัยจากกรณีฝนทิ้งช่วง อุทกภัยจากร่องความกดอากาศต่ำ อุทกภัยจากพายุดีเปรสชั่นอุซางิ และภัยแล้งปี 2545 ทำให้ต้องมีการจัดซื้อจำนวนมาก ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งที่ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหนังสือลงวันที่ 4 เมษายน 2545 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แจ้งว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบกลางประจำปีงบประมาณ 2545 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติ กรณีฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยเนื่องจากร่องความกดอากาศต่ำ

ส่วนงบประมาณสำหรับอุทกภัยจากพายุดีเปรสชั่นอุซางิ ยังอยู่ระหว่างเสนอของบประมาณผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ “อุซางิ” ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะได้รับการจัดสรรงบประมาณ หากจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์สำหรับ 2 ภัย ที่ได้รับงบประมาณมาแล้วไปก่อนย่อมทำได้ และสามารถแจกจ่ายปุ๋ยแก่ประชาชนทันฤดูฝน แต่กองแผนงานกรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีบันทึกลงวันที่ 1 เม.ย. 2545 ขออนุมัติอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุซางิ จำนวน 74,671,560 กิโลกรัม วงเงิน 216,547,524 บาท

ทั้งที่ในขณะนั้น คณะรัฐมนตรียังไม่มีมติอนุมัติงบประมาณสำหรับอุทกภัยอุซางิ และไม่ได้มีการนำเรื่องการช่วยเหลือในกรณีอุทกภัยอุซางิเข้าประชุมในคณะกรรมการป้องกัน และแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเปลี่ยนแปลงหลักการซึ่งเดิมช่วยเหลือเป็นปุ๋ยเคมีเป็นช่วยเหลือด้วยปุ๋ยอินทรีย์เหมือนเช่น กรณีภัยจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยจากร่องความกดอากาศต่ำ แต่คณะเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตร กลับมีมติให้ช่วยเหลือด้วยปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี

การรวมจัดซื้อที่ส่วนกลาง จำนวนมากเช่นนี้ ทำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตที่จะเข้าเสนอราคาจะต้องวางเงินประกันตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ข้อ 142 ซึ่งกำหนดให้ผู้เสนอราคาต้องวางหลักประกันซองร้อยละห้า โดยการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ต้องวางหลักประกันซอง เป็นเงิน 20,400,000 บาท ทำให้ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการที่มีความพร้อมด้านการเงินสูงเท่านั้นที่สามารถเข้าเสนอราคาได้ ส่งผลให้มีผู้เข้าแข่งขันน้อยราย

ดังจะเห็นได้ว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนได้สอบปากคำผู้ประกอบการที่ซื้อซองประกาศประกวดหลายรายให้ถ้อยคำว่า ไม่สามารถยื่นเสนอราคาได้ เพราะเหตุไม่สามารถหาหลักประกันซองได้ นอกจากนี้ การรวมจัดซื้อปริมาณมาก ๆ เช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตในขั้นตอน หรือกระบวนการจัดซื้อได้ง่าย

ข้อที่เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในครั้งนี้ อ้างว่า การจัดซื้อที่ส่วนกลาง เพราะต้องส่งปุ๋ยอินทรีย์ไปตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิชาการเกษตรและกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งตั้งอยู่ส่วนกลาง และเพื่อจะได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน นั้น แต่จากการไต่สวน ของคณะอนุกรรมการไต่สวนได้ความว่า มีหน่วยราชการในภูมิภาคที่สามารถตรวจวิเคราะห์ปุ๋ยอินทรีย์ ตามเงื่อนไขแนบท้ายประกาศประกวดราคาได้ 3 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด 1 แห่ง จังหวัดขอนแก่น 1 แห่ง และในจังหวัดนราธิวาส 1 แห่ง โดยแหล่งผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่จะตรวจวิเคราะห์ ส่วนมากก็กระจายอยู่ตามต่างจังหวัด การกระจายให้หน่วยงานของกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้จัดซื้อ ย่อมเป็นประโยชน์มากกว่า

ส่วนข้ออ้างว่า เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน นั้น ไม่ว่าจะตรวจโดยหน่วยงานใด ผลการตรวจวิเคราะห์ก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน 

@กระบวนการจัดซื้อล็อค ‘จำนวน’ ผู้เสนอราคา

สำหรับขั้นตอนการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ มีการกำหนดให้ผู้มีสิทธิเสนอราคาต้องมีผลงานการจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับส่วนราชการหรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้สัญญาเดียวในวงเงินไม่น้อยกว่า 10,000,000 บาท ทำให้มีผู้ผลิตปุ๋ยทั้งระบบที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ที่กำหนดเพียง 7 ราย จึงเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อจำกัดผู้มีสิทธิเสนอราคาให้น้อยลง แม้อ้างว่า การจัดซื้อครั้งเกิดเหตุได้ปรับลดลงเหลือร้อยละ 2.5 ของวงเงินที่จัดซื้อ นั้น จากเดิมที่เคยการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์เมื่อปี 2544 มีการกำหนดในเรื่องผลงานร้อยละ 10 ของเงินที่จัดซื้อก็ตาม

ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในปี 2544 กรมส่งเสริมการเกษตรเคยมีการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ 2 ครั้ง ครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2544 จำนวน 11,460,000 กิโลกรัม กำหนดผลงานของผู้มีสิทธิเสนอราคา 17,000,000 บาท ตามประกาศกรมส่งเสริมการเกษตร เลขที่ ป.11/2544 เอกสารหมาย ล.22 ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2544 จำนวน 14,061,400 กิโลกรัม กำหนดผลงานของผู้มีสิทธิเสนอราคา 4,000,000 บาท ตามประกาศกรมส่งเสริมการเกษตร เลขที่ ป.43/2544 เอกสารหมาย ล.23

จะเห็นว่า การกำหนดในเรื่องผลงานของผู้มีสิทธิเสนอราคาของการจัดซื้อทั้งสองครั้งในปี 2544 ไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน หาใช่กำหนดที่ร้อยละ 10 ของวงเงินที่จัดซื้อตามที่เจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรกล่าวอ้างไม่ และปริมาณของปุ๋ยอินทรีย์ที่จะจัดซื้อในครั้งนี้มีจำนวนมากถึง 140 ,637,880 กิโลกรัม มากกว่าการจัดซื้อทั้งสองครั้งเมื่อปี 2544 ถึง 10 กว่าเท่าตัว ย่อมไม่อาจนำหลักเกณฑ์เรื่องผลงานของผู้มีสิทธิเสนอราคาในการจัดซื้อในปี 2544 มาใช้กับการจัดซื้อในครั้งนี้ได้

นอกจากนี้ การจัดซื้อครั้งนี้ยังมีข้อกำหนดว่า ผู้เสนอราคาต้องมีสต็อกปุ๋ยอินทรีย์ชนิดเดียวกับที่ยื่นซองเสนอราคาจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนปุ๋ยอินทรีย์ที่จะจัดซื้อทั้งหมด ข้อเท็จจริง ได้ความจากการไต่สวนว่า ไม่มีผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์รายใดมีจำนวนสต็อกปุ๋ยอินทรีย์มากถึงร้อยละ 50 หรือ 70,318,940กิโลกรัม แม้แต่รายเดียว จึงเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การเสนอราคาที่ไม่สมเหตุผล และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริ

ส่วนที่เจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตร ผู้กำหนดหลักเกณฑ์ การจัดซื้ออ้างว่า หลักเกณฑ์ในเรื่องสต็อกไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 นั้น เป็นการกำหนดเหมือนกับการจัดซื้อเมื่อปี 2544 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ตามประกาศกรมส่งเสริมการเกษตร เลขที่ 11/2544 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2544 มีเงื่อนไขการจัดซื้อ ในข้อ 2. กำหนดว่า “กรมส่งเสริมการเกษตรสงวนสิทธิเข้าทำการตรวจสอบสต็อกปุ๋ยอินทรีย์ที่จะจัดซื้อ ณ ลานหรือโกดัง ของผู้เสนอราคาทุกราย หากผู้ยื่นซองเสนอราคารายใดมีจำนวนปุ๋ยอินทรีย์ไม่ครบ.........กรมฯ สงวนสิทธิไม่พิจารณาราคาของผู้ยื่นซองเสนอราคารายนั้น......”

เมื่อพิจารณาเอกสารประกวดราคาในครั้งดังกล่าว กลับไม่พบว่า มีการกำหนดหลักเกณฑ์ว่าผู้เสนอราคาต้องมีสต็อกปุ๋ยอินทรีย์ที่จะจัดซื้อไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนปุ๋ยอินทรีย์ที่จะจัดซื้อทั้งหมด แต่อย่างใด

ในเรื่องนี้ได้ความจาก นายพงษ์ศิริ จิตรประทักษ์ หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิริวัฒนาค้าข้าว ให้การต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนและเจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปราม ตามเอกสารหมาย จ.29 หน้า 425 ถึงหน้า 431 ว่า

เมื่อต้นปี 2544 กรมส่งเสริมการเกษตรจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ จำนวน 11,000 ตัน นายพงษ์ศิริ ได้เสนอราคาในนามบริษัท รวยมั่นคงดี จำกัด มีข้อกำหนดให้ผู้เสนอราคาจะต้องมีสต็อกปุ๋ยจำนวนร้อยละ 50 ของจำนวนที่จะจัดซื้อ แต่ก่อนยื่นซองประกวดราคาผู้ประกอบการได้ยื่นร้องเรียนให้ยกเลิกเงื่อนไขเรื่องดังกล่าว จนกรมส่งเสริมการเกษตรต้องยกเลิกเงื่อนไขเป็นผลให้มีผู้ประกอบการเข้าเสนอราคาถึง 11 ราย เมื่อพิจารณาเงื่อนไขตามประกาศ เลขที่ 11/2544 แล้วพบว่า มีการกล่าวถึงสต็อก แต่ไม่ได้กำหนดจำนวนสต็อก จึงมีเหตุผลน่าเชื่อตามที่นายพงษ์ศิริ ให้การว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าว เดิมกรมส่งเสริมการเกษตรได้กำหนดเงื่อนไขในเรื่องสต็อกไว้ แต่เมื่อผู้ประกอบการยื่นร้องเรียน จึงตัดเงื่อนไขเรื่องสต็อกออกไป 

@ ผิด พ.ร.บ.ฮั้วงาน

แสดงให้เห็นว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ ที่ผ่านมาหาใช่ว่ามีการกำหนดในเรื่องสต็อกปุ๋ยอินทรีย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ตามที่กล่าวอ้าง ทั้งตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ก็ไม่มีข้อกำหนดในเรื่องนี้ จึงย่อมสามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในเรื่องสต๊อกได้ตามความเหมาะสมของการจัดซื้อแต่ละครั้ง การจัดซื้อในครั้งนี้ มีปริมาณมากกว่าครั้งก่อนถึง 10 กว่าเท่าตัว ย่อมไม่อาจนำหลักเกณฑ์ในครั้งก่อนมาใช้กับการจัดซื้อในครั้งนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรซึ่งเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดซื้ออ้างว่าได้ปรับลดในเรื่องผลงานของผู้เข้าเสนอราคาจากที่เคยกำหนดในการจัดซื้อ เมื่อปี 2544 กำหนดร้อยละ 10 ของวงเงินที่จัดซื้อ

ต่เนื่องจาก การจัดซื้อในครั้งนี้มีวงเงินสูง หากกำหนดร้อยละ 10 ของวงเงินจัดซื้ออาจจะไม่มีผู้เสนอราคา จึงปรับลดลงเหลือร้อยละ 2.5 ของวงเงินจัดซื้อ แต่ยังคงกำหนดเงื่อนไข ของการจัดซื้อในครั้งเกิดเหตุว่า ผู้เสนอราคาต้องมีสต็อกปุ๋ยอินทรีย์ชนิดเดียวกับที่ยื่นซองเสนอราคาจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนที่จะจัดซื้อซึ่งขัดแย้งกันเองกับเหตุผลที่ปรับลดในเรื่องผลงาน เมื่อพิจารณาถึงกระบวนการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในครั้งเกิดเหตุ มีความผิดปกติและส่อพิรุธหลายประการ ดังวินิจฉัยข้างต้น ทั้ง ๆ ที่กรมส่งเสริมการเกษตรเคยจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์มาหลายครั้งย่อมมีข้อมูล ของผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มเติมย่อมสามารถขอจากกรมวิชาการเกษตรซึ่งเป็นหน่วยงานมีหน้าที่รับแจ้งสถานที่ผลิตจากผู้ผลิตตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ตามฟ้องได้มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542

มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งสองรู้หรือมีพฤติการณ์ปรากฏชัดแจ้งว่าควรรู้ว่า การเสนอราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ตามฟ้อง มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือไม่

@ละเอียดยิบพฤติกรรมจำเลย

ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2545 ระหว่างที่กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ นายวิชัย ชัยจิตวณิชกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ผ่าน นายเจริญ จรรย์โกมล ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า การประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร มีพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางทุจริต

จำเลยที่ 1 สั่งการให้ นายเจริญ ดำเนินการตรวจสอบและมีการจัดประชุม โดยมีการประชุมในวันที่ 13 สิงหาคม 2545 ในที่ประชุมอภิปรายเกี่ยวกับเงื่อนไขในการประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์หลายประการ เช่น ราคาที่มีผู้เสนอราคาสูงกว่าความเป็นจริงมากทำให้สงสัยว่า จะมีการสมยอมราคา การรวมจัดซื้อปริมาณมากที่ส่วนกลาง ทำให้ผู้เสนอราคารวมค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และต้องมีเงินประกันสูง ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมเสนอราคาน้อยราย ทำให้รัฐได้สินค้าในราคาสูงเกินจริง ที่ประชุมไม่ได้ลงมติ แต่ได้ตั้งข้อสังเกตหลายประการที่สอดคล้องกับข้อร้องเรียนของ นายวิชัย แต่หลังจากการประชุม นายเจริญ กลับไม่ได้มีการรายงานผลการประชุมให้จำเลยที่ 1 ทราบและไม่ได้ มีการพูดคุยกับจำเลยที่ 1 ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของรัฐมนตรีผู้มีอำนาจมีหน้าที่กำกับดูแล ที่มีการกล่าวหาว่ามีการทุจริตในการจัดซื้อซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงอาจก่อให้เกิดความเสียหาย แก่งบประมาณของกรมส่งเสริมการเกษตรและเกษตรกรผู้ประสบภัย พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ละเลยการตรวจสอบการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์นับเป็นข้อพิรุธ 

ข้อเท็จจริงยังได้ความอีกว่า ในวันที่ 13 สิงหาคม 2545 คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ในคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรไปชี้แจงเกี่ยวกับการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ ในที่ประชุมมีการอภิปราย และซักถามข้อผิดปกติเกี่ยวกับการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ ในที่สุดที่ประชุมขอให้กรมส่งเสริมการเกษตร ส่งเอกสารเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณา ต่อมาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2545 กรมส่งเสริมการเกษตร ได้ส่งเอกสารไปให้ตามที่ร้องขอ ในวันเดียวกันนั้นเองประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร มีหนังสือด่วนที่สุดถึงจำเลยที่ 1 ผ่านจำเลยที่ 2 ขอให้ระงับการทำสัญญาซื้อปุ๋ยอินทรีย์ เนื่องจากคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นในคณะกรรมาธิการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบพิจารณาแล้วน่าเชื่อว่าการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์มีข้อพิรุธ และไม่เหมาะสมหลายประการ

จำเลยที่ 1 เพียงแต่สั่งให้อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรส่งมอบข้อมูล ที่เคยมอบให้แก่คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นมาให้จำเลยที่ 1 ประกอบการพิจารณาและเรียกอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรเข้าชี้แจงต่อจำเลยที่ 1 เท่านั้น แล้วให้จำเลยที่ 2 ส่งข้อมูลเดิมที่กรมส่งเสริมการเกษตรเคยมอบให้แก่คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นไปให้คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์อันใดในการตรวจสอบ ทั้งที่ในขณะนั้นปรากฏข่าวและมีการร้องเรียนต่อกรรมาธิการหลายคณะว่ามีพฤติการณ์ทุจริตในการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ แต่จำเลยที่ 1 เพียงแต่เรียกเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ถูกร้องเรียน มาชี้แจงเท่านั้น แทนที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการคนกลางมาทำการตรวจสอบเพื่อให้ได้ความกระจ่างชัด

ต่อมา เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2545 กรมส่งเสริมการเกษตร ทำบันทึกข้อความสรุปผลการประกวดราคา ว่าคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเห็นว่าชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด มีคุณสมบัติถูกต้องตามเงื่อนไขที่กำหนดเพียงรายเดียว เห็นควรรับราคาในการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ จำนวน 131,567,160 กิโลกรัม เป็นเงิน 367,072,376.40 บาท ขอให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอจำเลยที่ 1 เพื่ออนุมัติรับราคา

ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำบันทึกข้อความ ลงวันที่ 10 กันยายน 2545 ถึงจำเลยที่ 1 ผ่านจำเลยที่ 2 ว่าเนื่องจากคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบมีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2545 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สั่งการให้กรมส่งเสริมการเกษตรระงับการทำสัญญาแล้ว แจ้งผลให้ทราบ ดังนั้นเห็นควรให้คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ เพิกถอนความเห็น หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่แสดงว่าพอใจคำชี้แจงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามหนังสือ ที่ กษ 0100/6009 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2545 ก่อน เมื่อได้ดำเนินการแล้ว จึงเห็นควรพิจารณาอนุมัติรับราคาการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรเสนอ ต่อไป

ในวันรุ่งขึ้น จำเลยที่ 2 ให้เจ้าหน้าที่ประสานงานไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น และสภาผู้แทนราษฎรได้ส่งโทรสารหนังสือของ นายสุพล ฟองงาม ประธานอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น เลขที่ 347/2545 ลงวันที่ 11กันยายน 2545 ถึงจำเลยที่ 1 ว่า บัดนี้ คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ได้รับหนังสือด่วนที่สุด ที่ กษ 0100/6009 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2545 ที่ส่งรายละเอียด และชี้แจงข้อเท็จจริงว่าการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตรในครั้งนี้เป็นไปตามระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว

@บิดเบือน- เร่งรีบในการอนุมัติรับราคาการจัดซื้อ

ในวันเดียวกับที่ได้รับโทรสาร จำเลยที่ 2 เกษียณสั่งในบันทึกข้อความของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถึงจำเลยที่ 1 ว่า บัดนี้ คณะอนุกรรมาธิการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ 434/2545 ลงวันที่ 11 กันยายน 2545 รับทราบการดำเนินการจัดหาปุ๋ยดังกล่าวว่าเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 แล้ว จึงเห็นควรรับราคา จำเลยที่ 1 ลงนามเห็นชอบและอนุมัติรับราคาในวันเดียวกัน

พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ว่า จำเลยทั้งสองบิดเบือนข้อเท็จจริง และเร่งรีบในการอนุมัติรับราคาการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ ทั้งที่หนังสือของประธานคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น เพียงแต่แจ้งว่าได้รับหนังสือลงวันที่ 29 สิงหาคม 2545 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไว้แล้วเท่านั้น คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นยังมิได้พิจารณารายละเอียดในหนังสือของกระทรวงเกษตร และสหกรณ์และพอใจคำชี้แจงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอความเห็นแต่อย่างใด

ส่วนที่จำเลยทั้งสองเบิกความทำนองว่า หนังสือของคณะอนุกรรมาธิการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นไม่ได้แจ้งว่ายังติดใจในคำชี้แจงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำให้เข้าใจว่าคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นไม่ได้ติดใจแล้วนั้น เห็นว่า ข้อความในหนังสือ ของคณะอนุกรรมาธิการ มีความชัดเจนอยู่ในตัว ว่าเป็นเพียงการตอบรับว่า ได้รับหนังสือของกระทรวงเกษตร และสหกรณ์แล้ว ย่อมไม่มีเหตุให้เข้าใจตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง หากมีข้อสงสัยประการใด จำเลยทั้งสองก็สามารถสอบถามกลับไปยัง นายสุพล ผู้ออกหนังสือได้ในฐานะที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคการเมืองเดียวกัน ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

ต่อมา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2545 นายสุพล ฟองงาม ประธานอนุกรรมาธิการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ 454/2545 ถึงจำเลยที่ 1 ว่าการจัดซื้อ ปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวน่าจะไม่มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ประกอบกับสื่อมวลชนลงข่าวเกี่ยวกับ การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าว จึงขอให้กรมส่งเสริมการเกษตรระงับการลงนามทำสัญญาไว้ก่อนเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่องค์กรของรัฐ พร้อมกับแนบรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อสังเกต ของโครงการดังกล่าวเพื่อดำเนินการต่อไป โดยสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ได้รับ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2545 แต่จำเลยที่ 1 ลงนามรับทราบ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 อันเป็นเวลาหลังจากกรมส่งเสริมการเกษตรทำสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์ กับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด แล้ว

@ประวิงเวลา-เมินความเห็นของอนุ กก.ตรวจสอบของสภาฯ

เห็นว่า พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงโดยแจ้งชัดว่า จำเลยทั้งสองประวิงเวลาให้ล่าช้าจนกรมส่งเสริมการเกษตรลงนามในสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์แล้ว จึงมาลงนามรับทราบ เนื่องจากหนังสือของประธานอนุกรรมาธิการเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2545 เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นยังติดใจในคำชี้แจงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมีความเห็นว่าการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้มีการทุจริต และจำเลยทั้งสองก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างใดเพื่อให้มีการยกเลิกสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าว

ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า จำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่าสำนักเลขานุการรัฐมนตรีได้รับหนังสือของประธานอนุกรรมาธิการเมื่อใด แต่คณะกลั่นกรองงานของจำเลยที่ 2 ได้เสนอให้จำเลยที่ 1 ลงนามรับทราบเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ไม่ทราบกำหนดวันทำสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร กับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เนื่องจากเป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้กำหนดวันทำสัญญา

และข้อที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า เมื่อวันที่ 18 และ 19 กันยายน 2545 จำเลยที่ 2 ไม่ได้เข้าทำงาน ณ สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกตรวจเยี่ยมประชาชนในพื้นที่จังหวัดสระแก้วนั้น โจทก์นำ นางสาวยุวดี แก้วผ่องศรี เข้าไต่สวนประกอบเอกสารสมุดรับ-ส่งหนังสือของสำนักงาน เลขานุการรัฐมนตรีตามเอกสารหมาย จ.53 ได้ความว่า ในวันที่ 18 กันยายน 2545 มีหนังสือส่งมาถึงสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีอย่างน้อยจำนวน 9 ฉบับ และในวันเดียวกันกับที่หนังสือส่งมาถึง จำเลยที่ 1 ได้ลงนามในหนังสือส่งถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย 1 ฉบับ และลงนามรับทราบ 1 ฉบับ และในวันรุ่งขึ้น จำเลยที่ 1 ยังลงนามรับหนังสือ 1 ฉบับ แสดงให้เห็นว่าในวันที่ 18 กันยายน 2545 ซึ่งเป็นวันที่หนังสือของประธานอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นส่งมาถึงสำนักเลขานุการรัฐมนตรีนั้น จำเลยที่ 1 อยู่ปฏิบัติหน้าที่

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือของ ประธานอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2545 แต่ประวิงเวลาไม่ยอมลงนามรับทราบรอจนกระทั่งกรมส่งเสริมการเกษตรลงนามในสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์ กับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด แล้วจึงมาลงนามรับทราบเพื่อหลีกเลี่ยงการสั่งระงับการทำสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์ ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ได้ความเกี่ยวกับการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตรตั้งแต่การเสนอของบกลางเพื่อดำเนินการเป็นต้นมาว่า การเสนอราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ดังที่ได้วินิจฉัยแล้ว ประกอบกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองที่ได้ความ ในขั้นตอนพิจารณาอนุมัติรับราคาการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าว

@ ‘ชูชีพ’ ละเว้น ไม่ยกเลิกจัดซื้อ-‘วิทยา’ร่วมสนับสนุน

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งมีอำนาจหรือหน้าที่ในการพิจารณาและอนุมัติการเสนอราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร รู้ว่าการเสนอราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อให้มีการยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 แม้จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2538 มาตรา 3 (1) ให้สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่รวบรวมข้อมูล พิจารณา วิเคราะห์ และกลั่นกรองเรื่องเพื่อเสนอรัฐมนตรี รวมทั้ง เสนอความเห็นประกอบการวินิจฉัยสั่งการของรัฐมนตรี แต่ก็เป็นหน้าที่ทั่วไป

แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจหรือหน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในครั้งนี้ จึงไม่อาจถือว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ผู้มีอำนาจหรือหน้าที่ในการอนุมัติ การพิจารณาหรือการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเสนอราคา ในครั้งนี้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 จำเลยที่ 2 ย่อมขาดคุณสมบัติในฐานะเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว แต่เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 

องค์คณะผู้พิพากษา จึงมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 หรือไม่ 

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร มีการกำหนดเงื่อนไขในการประกวดราคาที่ไม่เหมาะสมหลายประการ เช่น กำหนดให้ผู้เสนอราคา ต้องมีสต็อกปุ๋ยอินทรีย์จำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนที่จะจัดซื้อซึ่งมีปริมาณมาก การจัดซื้อปริมาณมากที่ส่วนกลางต้องมีเงินประกันสูง การกำหนดให้ผู้เสนอราคาต้องมีผลงานจำหน่าย ปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐภายใต้สัญญาเดียว ในวงเงินจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000,000 บาท อันมีลักษณะเป็นการกีดกันผู้เสนอราคารายย่อยและเอื้ออำนวย แก่

ผู้เข้าทำการเสนอราคาที่มีความสามารถในการรวบรวมปุ๋ยอินทรีย์และมีเงินทุนในการดำเนินกิจการสูง ส่งผลให้มีผู้เข้าร่วมเสนอราคาน้อยรายจากผู้สนใจเข้าซื้อเอกสารประกวดราคา จำนวน 24 ราย มีคุณสมบัติตามประกาศประกวดราคาจำนวนเพียง 5 ราย และมีผู้ยื่นซองเสนอราคาจำนวนเพียง 3 ราย โดยเสนอราคาใกล้เคียงกันมีลักษณะของการสมยอมราคาหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และผลการประกวดราคาก็ปรากฏว่ามี ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้เสนอราคาที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์เพียงรายเดียว

โดยเงื่อนที่กำหนดในการประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์อันเป็นเหตุให้ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคาเพียงรายเดียว และปรากฏว่า มีการร้องเรียนและทักท้วงจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นมีความเห็นว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวน่าเชื่อว่า มีข้อพิรุธ และความไม่เหมาะสมหลายประการ ขอให้ระงับการทำสัญญาซื้อปุ๋ยอินทรีย์

จำเลยที่ 1 ไม่ทำการตรวจสอบอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขข้อพิรุธ แต่กลับมีพฤติการณ์ไปในทางอำนวยให้เกิดผลต่อการทำสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ ดังได้วินิจฉัยข้างต้นแล้ว พยานหลักฐานในคดีนี้จึงมีน้ำหนัก และเหตุผลให้รับฟังได้ว่า การที่จำเลยทั้งสองกระทำความผิดดังวินิจฉัยมาแล้ว โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด ผู้เข้าทำการเสนอราคาให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์กับกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12

นอกจากนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองในบทความผิดทั้งสองกรณีดังได้วินิจฉัยมาแล้ว ยังเป็นความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมส่งเสริมการเกษตรและเกษตรผู้ประสบภัย ทั้งเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อีกด้วย

ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ว่า ไม่เคยใช้ตำแหน่งทางการเมืองในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อช่วยเหลือหรือเอื้อประโยชน์ แก่ผู้เสนอราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ ไม่เคยรู้จักผู้บริหารของชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการเสนอราคา และชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้ชนะการเสนอราคาและทำสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์เนื่องจากมีคุณสมบัติตามประกาศประกวดราคาของกรมส่งเสริมการเกษตร

และข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ว่า ไม่มีส่วนในการกำหนดเงื่อนไขการจัดซื้อ ปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร และการกำหนดคุณสมบัติในขณะประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวไม่สามารถจะทราบได้ว่าจะมีผู้มีคุณสมบัติกี่รายนั้นจึงฟังไม่ขึ้น องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติ ด้วยเสียงข้างมากว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

พิพากษา ว่า

จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 และมาตรา 12 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83

จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และมาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83

เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 ปี

(ฉบับเต็ม http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/A/069/12.PDF) 

อ่านประกอบ:

จำคุกคนละ 6 ปี! ศาลฎีกาฯฟัน‘ชูชีพ-วิทยา’ทุจริตจัดซื้อปุ๋ย 1.3 แสนตันปี’ 44

ปรากฏการณ์‘คนดัง-นักการเมืองใหญ่’ พาเหรดเข้าคุก-จ่อคิวอีกเพียบ?