- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “รสนา” เปิดโครงสร้างความเหลื่อมล้ำด้านพลังงาน จวกรัฐเปิดช่องเอื้อเอกชนโกยกำไร
“รสนา” เปิดโครงสร้างความเหลื่อมล้ำด้านพลังงาน จวกรัฐเปิดช่องเอื้อเอกชนโกยกำไร
เปิดทางขรก.ระดับสูงนั่งบอร์ดธุรกิจพลังงาน ส่อผลประโยชน์ทับซ้อน-ไร้ธรรมาภิบาล “คณะทำงานฯ ” เผยไทยผลิตน้ำมันล้นตลาด 12 ปีแล้วแต่คนไทยไม่เคยรู้ แฉเอกชนอ้างราคาสิงคโปร์สร้าง “ตลาดเทียม” หลอกคนไทยซื้อน้ำมันแพง พร้อมชูไอเดีย “ตั้งค่า FOB ไทยแลนด์ โดยอัมมาร์ สยามวาลา”
เมื่อเร็วๆ นี้ นางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ และประธานคณะกรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา นำเสนอปัญหาเรื่องพลังงานในประเทศไทย “พลังงานไทย พลังงาน (ของ) ใคร” ในเวทีการประชุม “ปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะคนไทย”ครั้งที่ 38 ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ ซึ่งมีศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) และประธานเครือข่ายสถาบันทางปัญญา เป็นประธาน
นางสาวรสนา เปิดเผยถึงปัญหาสถานการณ์พลังงาน ที่คนไทยไม่เคยรู้มาก่อนว่า ประเทศไทยไม่ได้มีทรัพยากรแก๊สธรรมชาติและะน้ำมันดิบน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ตามที่เคยเข้าใจกัน พร้อมยกข้อมูลของ Energy information Administration ในสหรัฐอเมริกาที่สำรวจ 224 ประเทศพบว่า ประเทศไทยขุดน้ำมันดิบขายในปี 2552 อยู่อันดับที่ 33 ของโลก ซึ่งสูงกว่าประเทศบูรไน ส่วนการผลิตแก๊สธรรมชาติอยู่อันดับที่ 27ของโลกจัดอยู่ในกลุ่มระดับกลางของสมาชิกโอเปค ขณะเดียวกันข้อมูลจากกระทรวงพลังงานพบว่าใน ปี 2552 ไทยผลิตน้ำดิบ แก๊สธรรมชาติเหลว แก๊สธรรมชาติ รวมได้ 124 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทย มีทรัพยากรแก๊สและน้ำมันไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่
นางสาวรสนา กล่าวอีกว่า จากข้อมูลในปี 2551 ยังพบไทยส่งออกพลังงานทั้งน้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ และแก๊สปิโตรเลียมเหลวคิดเป็นมูลค่า 3 แสนกว่าล้านบาท และสูงกว่าการส่งออกข้าวและยางพาราที่มีมูลค่าส่งออก 2 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งเทียบเท่าปริมาณการส่งออกพลังงานของประเทศเอกวาดอร์ซึ่งเป็นสมาชิกโอเปคอีกด้วย
“ขณะที่ประเทศไทยมีแหล่งทรัพยากรแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบจำนวนไม่น้อย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไทยก็มีการผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะที่ค่าสัมปทานหรือค่าภาคหลวงที่รัฐได้รับตอบแทนจากกิจการสัมปทานพลังงานนั้นต่ำมากจนประชาชนไม่ได้รับประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้ซึ่งเป็นของคนไทยทุกคน”
กรณีการจัดเก็บค่าภาคหลวงของการขุดเจาะน้ำมันดิบในประเทศไทยนั้น ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า อัตราค่าภาคหลวงของไทย ที่รัฐได้รับจากกิจการพลังงานนั้นมีอัตราคงที่ที่ 12.5 % รัฐมีรายได้ต่อปีจากหลุมที่มีกำลังผลิต 20,000 บาเรลต่อวัน ค่าภาคหลวงจะเท่ากับ 2,172 ล้านบาท กระทั่งปี 2532 มีการแก้ไขกฎหมายเปลี่ยนแปลงอัตราค่าสัมปทานกิจการพลังงานจากอัตราคงที่ 12.5% เป็นอัตราก้าวหน้า 5-15 % โดยให้เห็นผลประกอบการว่า บ่อน้ำมันในประเทศไทยมีขนาดเล็กและราคาน้ำมันดิบตกต่ำทำให้ไม่จูงใจผู้รับสัมปทานจึงต้องแก้ไขกฎหมาย ส่งผลให้รัฐมีรายได้จากค่าภาคหลวงลดลงเหลือ 1,770 ล้านบาท
“ข้อมูลล่าสุดจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติพบว่า ตั้งแต่ปี 2524-2552 ไทยมีมูลค่าการขายปิโตรเลียมทั้งหมดอยู่ที่ 2.6 ล้านล้านบาท โดยเก็บค่าภาคหลวงได้เพียง 12.54 % หรือประมาณ 3.2 แสนล้านบาท ขณะที่ผู้ได้รับสัมปทานมีรายได้ 87.46 %” ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าว
สำหรับข้อแตกต่างของไทยกับประเทศอื่น คือ การที่ไทยไม่ได้รับส่วนแบ่งรายได้ เช่นประเทศอื่นนั้น น.ส.รสนา กล่าวว่า ทำให้ไทยได้รับผลประโยชน์น้อยกว่าที่ควร ขณะที่นโยบายการสำรวจขุดเจาะ การให้สัมปทานขุดเจาะปิโตรเลียมของไทย เงื่อนไขความเป็นเจ้าของอุปกรณ์ไม่ตกเป็นของรัฐ ก็ทำให้รัฐเสียโอกาสเข้าดำเนินการเมื่อหมดสัญญา ซึ่งถ้าประเทศไทยเก็บค่าสัมปทานระบบเดียวกับพม่า โดยรัฐมีส่วนแบ่งรายได้เฉลี่ยจากผลผลิตอีก 50-80% รัฐจะมีรายได้ถึง 9 แสนล้านบาท รวมเป็น 1.2 ล้านล้านบาท
ชี้นโยบายพลังงานไทยสร้างความเหลื่อมล้ำ ชงคสป.เร่งปฏิรูป
ส่วนนโยบายจัดการพลังงานในประเทศไทยที่ผ่านมานั้น นางสาวรสนา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่แปลกมากเมื่อรัฐเป็นผู้ดูแลทรัพยากรของชาติ แต่ทำไมจึงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย จนเกิดความเหลื่อมล้ำทางนโยบายที่หลบซ่อนอยู่ ตัวอย่าง เช่น กรณีการแก้ไขพ.ร.บ.ปิโตรเลียมในปี 2550 ได้มีการแก้ไขข้อกำหนดในการให้สัมปทาน จากเดิมที่จำกัดจำนวนแปลงให้แก่ผู้สัมปทานรายละ 5 แปลง โดยมีพื้นที่รวมไม่เกิน 20,000 ตารางกิโลเมตร กลับแก้ไขให้หย่อนยานลง ส่งผลทำให้เอกชนสามารถจับจองให้พื้นที่สำรวจอย่างไม่จำกัด ซ้ำยังให้มีการลดหย่อนค่าภาคหลวงได้ถึง 90% ที่สำคัญคือ อำนาจการอนุมัติที่เคยเป็นของคณะรัฐมนตรีกลับกลายเป็นของรัฐมนตรีพลังงานเท่านั้น ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางธรรมาภิบาลที่ดีในการกำกับดูแลทรัพยากรชาติ ทั้งที่ทรัพยากรเหล่านี้มีอยู่อย่างจำกัดสามารถหมดลงได้
“ประเทศเม็กซิโกบอกว่าสิทธิในการกำหนดสัมปทานน้ำมันนั้นไม่ใช่เป็นสิทธิ์การตัดสินใจของรัฐบาล แต่เป็นสิทธิของประชาชนทุกคนในประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยให้ รัฐมนตรีคนเดียวมีอำนาจตัดสิน ช่วยกันชงช่วยกันกิน ไม่มีใครเคยหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาตรวจสอบ ซึ่งคสป.ควรจะเพิ่มเรื่องพลังงานเข้าไปในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วย” น.ส.รสนา กล่าว และว่า นอกจากนี้ การแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 5 และ 6) พ.ศ.2550 ที่เปิดช่องให้ข้าราชการระดับสูง เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าไปนั่งเป็นกรรมการในบริษัทพลังงานต่างๆได้อีก จึงเกิดทำให้เกิดคำถามว่า คนกลุ่มนี้จะมีความเป็นกลางในการรักษาผลประโยชน์ของสังคมและการออกนโยบายด้านพลังงานหรือไม่ จะดำรงความเป็นกลางทำผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการรายอื่น และต่อประชาชนหรือไม่
นางสาวรสนา กล่าวด้วยว่า เรื่องแก๊สธรรมชาติก็ยังมีการผูกขาดทำให้ขาดแคลน,ข้าราชการของรัฐมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทเอกชนด้านพลังงานและปิโตรเลียม , แก๊สแอลพีจีที่ภาคปิโตรเลียมมีความต้องการใช้สูงมากกว่าประชาชนทั่วไป แต่กลับไม่ยอมรับภาระซื้อแก๊สแอลพีจีตามราคาตลาดโลก หรือปัญหาแก๊สเอ็นจีวีที่ทำให้คนทั้งประเทศเข้าใจว่าเป็นพลังงานสะอาดกลับมีการเดิมคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มลงไปไม่ต่างจากการเอากรวดไปปนกับข้าวสาร อีกทั้งปัญหานโยบายพลังงานที่เหมือนนโยบายชั่วคราวที่ผลักภาระให้สังคมรับแบก เป็นต้น
จวกเอกชนสร้างกลไก “ตลาดเทียม” หลอกคนไทยซื้อน้ำมันแพง
ทั้งนี้ 1 ในคณะทำงาน คณะอนุกรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา กล่าวว่า ประเทศไทยผลิตน้ำมันสำเร็จรูปล้นเกินมาเป็นปีที่ 12 แล้ว โดยมีกำลังกลั่นประมาณ 1.2 ล้านลิตร ทั้งที่ใช้เองประมาณ 7 แสนลิตรต่อวัน ซึ่งมี 6 โรงกลั่นที่มีกำลังกลั่นเกินแสนล้านลิตร ในจำนวนนี้ 5 แห่ง ตกอยู่ในมือของบริษัทเอกชนรายเดียว
เมื่อถามถึงสาเหตุของราคาขายน้ำมันในประเทศไทยที่มีราคาแพงทั้งที่สามารถผลิตน้ำมันได้เกินความต้องการใช้ในประเทศ คณะทำงานฯ กล่าวว่า ราคาน้ำมันประเทศไทยนั้นอิงราคาสิงคโปร์หรือค่าเอฟโอบีสิงคโปร์ (FOB : Free on Board) โดยบวกค่าขนส่ง ประกันภัยจากสิงคโปร์มาไทยด้วย ซึ่งค่านี้ไม่มีอยู่จริง เนื่องจากเรากลั่นอยู่ที่อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และจ.ระยอง แต่บริษัทต่างๆ บวกสิ่งเหล่านี้เข้ามาหมด แต่เวลาส่งออกจะส่งในราคาสิงคโปร์ลบค่าต่างๆ นี้แล้วส่งออกเพื่อให้สู้ราคาน้ำมันของสิงคโปร์ได้ ขณะที่ราคาขายน้ำมันให้คนไทยนั้นจะอิงราคาสิงคโปร์โดยบวกค่าต่างๆ ที่กล่าวมาเข้าไป ทำให้ราคาน้ำมันไทยแพงกว่าราคาที่ส่งออกถึง 2-3 บาทต่อลิตรทั้งที่มีกำลังผลิตน้ำมันล้นตลาดการใช้ก็ตาม
คณะทำงานฯ กล่าวถึงทางออกสำหรับเรื่องนี้ ดร.อัมมาร์ สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เสนอให้มีการกำหนดค่ามาตรฐานเป็นค่าเอฟโอบีไทยแลนด์แทนค่าเอฟโอบีราคาสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้มีราคาใกล้เคียงกับราคาน้ำมันส่งออก ทั้งนี้รัฐจะต้องให้ทุกโรงกลั่นแข่งขันกันได้และไม่ใช่ใช้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปนำเข้ามาขายคนไทย เนื่องจากการอ้างอิงเอฟโอบีสิงคโปร์นั้นเป็นการสร้างกลไกตลาดเทียมของราคาน้ำมัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีกลไกตลาดจริง เพราะกลไกตลาดจริงนั้นจะต้องเกิดขึ้นจริงจากการแข่งขัน
“ตั้งแต่ปี 2475 พ่อของแผ่นดินเราได้ให้สมบัติไว้เยอะมาก ให้ทรัพยากรธรรมชาติไว้มากพอที่จะทำให้เราอยู่กันได้อย่างมีความสุข แต่ก็พบว่า ทรัพยากรเหล่านั้นถูกฉีกออกไปอยู่ในแต่ละกระทรวง หรือแต่ละหน่วยงาน คนละทิศทาง และถูกบริหารจัดการแบบไม่มองภาพรวม เกิดนายหน้าของทรัพยากรเหล่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ผลประโยชน์ไม่ได้ตกสู่ลูกของแผ่นดิน ดังนั้น ผมเห็นว่าต้องนำทรัพย์ของแผ่นดินมารวมกันแล้วให้มีหน่วยงานผู้ดูแลทำให้เกิดประโยชน์จริงๆ แยกดูทรัพยากรแต่ละชนิดเพื่อมาสร้างประโยชน์ให้ทุกคน ถ้าทำได้ทุกคนก็จะมีกิน” คณะทำงานฯ กล่าว
จวกนโยบายพลังงานไทยปั๊ม “ผลประโยชน์ทับซ้อน-หลอกแหกตาระดับชาติ”
ส่วนนายปรีดา เตียสุวรรณ์ กรรมการเครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (เอสวีเอ็น) และกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) กล่าวถึงนโยบายพลังงานเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ขณะนี้ประเทศไทยมีนโยบายไม่ชัดเจนว่าพลังงานเป็นของรัฐหรือเอกชน และการใช้นโยบายที่แปรรูปกิจการพลังงานนั้นผิดมาตั้งแต่ต้น คือ มอบสิทธิ์ถือครองให้รัฐวิสาหกิจมาก ส่งผลให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนกันอย่างมหาศาล หรือแม้แต่การสร้างนโยบายในการฮั้วกันเพื่อการแปรรูป ซึ่งหากไม่ระวังประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก จากการยอมให้คนที่กุมบังเหียนเข้ามามีผลประ โยชน์ในการจัดการนโยบาย
“การจัดการที่ดีควรต้องมีสร้างนโยบายการพึ่งพาตนเอง และจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม สร้างพลังงานจากพืช ซึ่งต้องเป็นทางเลือกนโยบายของรัฐที่ต้องตีแผ่ออกมาให้ชัดเจน ไม่ใช่เพียงมอบอำนาจแก่บริษัท ที่เป็นของรัฐก็ไม่ใช่ เอกชนก็ไม่เชิง มาส่งผลกระทบต่อนโยบายของประเทศโดยตรงเรื่องพลังงาน ซึ่งต่อไปหากมีการจัดวางกรอบ เอานโยบายมาวาง การทำงานก็จะง่ายขึ้น”
สุดท้าย ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า การพัฒนาที่ผ่านมาเรานำประโยชน์จากทรัพยากรทั้งหมดไปใช้ประโยชน์ต่อคนส่วนน้อยในประเทศ ดังนั้นจะต้องมีการปฏิรูปเรื่องทรัพยากรพลังงานกันใหม่เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมที่มีอยู่ในสังคมนี้ด้วย