- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- กสศ. เปิด 10 จังหวัด พบนร.ยากจนพิเศษ-ครอบครัวมีรายได้เฉลี่ย 42 บ./วัน
กสศ. เปิด 10 จังหวัด พบนร.ยากจนพิเศษ-ครอบครัวมีรายได้เฉลี่ย 42 บ./วัน
แม่ฮ่องสอน ตาก นราธิวาส ยะลา น่าน พบปัญหามากที่สุดในประเทศ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเตรียมรับฟังความเห็นหลักเกณฑ์ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย ตลอดเดือนส.ค.-ต้นก.ย.นี้
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) จัดทำผลสำรวจสถานะนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษ ปี 2561 โดยใช้เกณฑ์การคัดกรองนักเรียนยากจนด้วยวิธีการวัดรายได้ทางอ้อม (Proxy Mean Tests) หรือ PMT
ผลการสำรวจ พบว่า มีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองแบบ PMT ที่มีรายได้ครัวเรือนน้อยกว่า 3,000 บาทต่อคน / เดือน และมีภาระพึ่งพิง ที่อยู่อาศัยทรุดโทรม ไม่มียานพาหนะ เป็นเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน รวมทั้งหมด 1,696,433 คน
แบ่งเป็น
- นักเรียนยากจน 1,075,476 คน
- และนักเรียนยากจนพิเศษ 620,937 คน
โดยกลุ่มหลังเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเร่งด่วน เพราะครอบครัวมีรายได้เฉลี่ยต่อคน 1,281 บาทต่อเดือน หรือเฉลี่ยวันละ 42.7 บาท เท่านั้น ไม่เพียงพอแม้แต่ค่าอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
ส่วนภูมิภาคที่มีนักเรียนยากจนพิเศษหนาแน่นที่สุดคือ ภาคเหนือ ในบริเวณพื้นที่สูง และตะเข็บชายแดน
จังหวัดที่มีเด็กยากจนพิเศษมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก นราธิวาส ยะลา น่าน สตูล เชียงใหม่ ปัตตานี นครราชสีมา มหาสารคาม
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ระบุว่า แม้นักเรียนยากจนพิเศษจะได้รับการสนับสนุนจาก สพฐ. ในรูปแบบการจัดสรรเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน แต่ยังไม่เพียงพอเนื่องจาก เงินเฉลี่ยวันละ 5 บาท สำหรับนักเรียนประถมและวันละ 15 บาท
"นักเรียนมัธยม ที่สพฐ.สนับสนุนนั้น น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบัน เช่น ค่าเดินทางไป-กลับ โรงเรียน หรือ ค่าอาหาร และค่าเครื่องแบบ ซึ่งล้วนมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเงินอุดหนุนที่รัฐจัดสรรให้ และไม่ได้มีการปรับเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อมานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยมูลค่าที่แท้จริงของเงิน 1,000 บาทเมื่อปี 2550 เหลือเพียง 800 บาทในปี 2560 จุดนี้เองทำให้นักเรียนยากจนจำนวนมากมีความเสี่ยงที่จะออกจากระบบการศึกษาเนื่องจากปัญหาความยากจน"
ดร.ไกรยศ บอกว่า เด็กยากจนพิเศษเป็นแค่หนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่ กสศ. มีแผนช่วยเหลือ กองทุนมีแผนทำงานร่วมกับโรงเรียนในสังกัดอื่นๆด้วย เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของกระทรวงมหาดไทย โรงเรียนสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างเสมอภาค โดยจะมีการประชุมรับฟังความเห็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายจากทุกภาคส่วน 4 ภูมิภาค ในช่วงเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายนนี้เพื่อให้การสนับสนุนของ กสศ.มีความเป็นธรรม เกิดประโยชน์ไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง
ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวย้ำถึงงานวิจัยของOECD ที่วิเคราะห์จากผลสอบ PISA พบว่า ประเทศไทยมีนักเรียนยากจน และมีศักยภาพทำคะแนนสูงในระดับนานาชาติได้ หรือเรียกว่า Resilient student อยู่ประมาณ 3.3 % โดยหากสนับสนุนปัจจัยทางเศรษฐกิจให้กับนักเรียนกลุ่มนี้อย่างเต็มที่ จะสามารถเพิ่มจำนวนของนักเรียนกลุ่มนี้ได้ 6 เท่า หรือ ประมาณ 400,000 คน
อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากนานาชาติ ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย บราซิล ฟินแลนด์ สิงคโปร์ ยืนยันชัดเจนว่าการใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียวนั้นไม่พอ ต้องปฏิรูประดับโครงสร้างโดยภาครัฐ กองทุนให้น้ำหนักอย่างมากกับการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษาและการพัฒนาครู เราจึงเน้นสร้างสรรค์งานวิจัย ที่ร่วมมือกับนานาชาติและทดลองปฏิบัติจริง เพื่อจัดทำข้อเสนอระดับนโยบายให้กับรัฐบาล
เปิดใจครู
ขณะที่ผู้อำนายการและครูจากโรงเรียนยากจนพิเศษ ต่างเปิดใจถึงปัญหาที่โรงเรียนต้องเผชิญมาตลอด
นายวีรณัฐ ทนะวัง ครูโรงเรียนบ้านผาเวียง จังหวัดน่าน เล่าว่า 13 ปีที่อยู่ในพื้นที่ ครูก็ลำบาก เด็กก็ลำบากเช่นกัน ครอบครัวของนักเรียนในพื้นที่ส่วนใหญ่ยากจนทำอาชีพปลูกไร่ข้าวโพด ที่อยู่อาศัยต้องลักลอบตัดไม้จากเขตอุทยาน ถ้าไม่ตัดก็ไม่มีบ้านอยู่ หลังคาทำจากใบจาก ใบก้อ แม้เด็กเหล่านี้จะได้รับงบจาก สพฐ. ราว15 บาท/วัน เพื่อสนับสนุนการเดินทางแต่ในพื้นที่รถไม่สามารถวิ่งได้โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน
"ในแต่ละวันเด็กๆต้องใช้ระยะเวลาเดินเท้ามาโรงเรียน 40 นาทีถึง1 ชั่วโมงต่อเที่ยว เพราะถนนทั้งสายกลายเป็นโคลนหนาและเต็มไปด้วยร่องลึกลื่น โดยเส้นทางส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของกรมอุทยานจึงไม่สามารถลาดยางได้ การเรียนของเด็กบนดอยนั้น ไม่มีทางเท่าเทียมกับเด็กพื้นราบ ลำพังจำนวนครูนั้นไม่เพียงพอ โรงเรียนก็ขาดงบประมาณในการจ้างครูเพิ่ม ไม่มีใครต้องการมาอยู่ในพื้นที่ยากลำบาก"
ด้าน นางสาวชลชนก หนูรอด ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดโคกสำโรง กล่าวทั้งน้ำตาว่า ที่โรงเรียนครู 3 คน รับผิดชอบ 8 สาระวิชา ดูแลนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่6 โดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารเช้า นักเรียน 55 % มีน้ำหนักส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์
"เงิน 20 บาท เป็นค่าอาหารทั้งสามมื้อ ทั้งเช้า กลางวัน เย็น สถานการณ์เช่นนี้ โรงเรียนอยู่เฉยไม่ได้ จึงรวมตัวแม่บ้านประชาอาสา ประมาณ 50 คน ทำอาหารโดยไม่คิดมูลค่า เพราะทุกคนเหมือนครอบครัวเดียวกัน ครูและผู้ปกครองก็พยายามช่วยเหลือกัน"
ครูชลชนก ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า จากการที่เป็นครูมาหลายปี เห็นชีวิตเด็กยากจนเป็นวงจรที่ไม่สิ้นสุด
เธอพบเด็กเข้าๆออกๆโรงเรียน เพราะต้องรอนแรมตามพ่อแม่ไปทำงาน โอกาสเรียนต่อจนจบการศึกษาสูงๆแทบไม่มี ฝันให้ไกลไปกว่าก็นี้ไม่ได้ เพราะลำพังอาหารที่จะกินแต่ละมื้อไม่ต้องคำนึงถึงโภชนาการ ขอให้ครบ 3 มื้อยังลำบากนัก
พร้อมกันนี้เธอตั้งความหวังทิ้งท้ายขอให้ปัญหาเหล่านี้จบเสียที