ค้ามนุษย์พ่นพิษ เมืองไทยอยู่ไม่ไหว... "ปวีณ"ขอลี้ภัยออสเตรเลีย
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดียน รายงานว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และอดีตหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา เปิดเผยว่า ชุดสอบสวนของเขาในคดีเครือข่ายค้ามนุษย์สามารถเปิดโปงการกระทำผิดของตำรวจและทหารระดับสูงในประเทศไทย ทำให้เขาวิตกถึงภัยอันตรายต่อชีวิต จึงมีแผนขอลี้ภัยทางการเมืองในออสเตรเลีย
พล.ต.ต.ปวีณ เดินทางถึงเมืองเมลเบิร์นของออสเตรเลียเมื่อไม่กี่วันก่อนด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว และเปิดเผยกับรายการ 7.30 ของสถานีโทรทัศน์เอบีซีของออสเตรเลีย และเดอะ การ์เดียน ออสเตรเลีย ว่า เขาหวังว่าทางการออสเตรเลียจะอนุมัติคำขอลี้ภัยของเขา
พล.ต.ต.ปวีณ ยื่นหนังสือลาออกจากราชการเมื่อเดือนพฤศจิกายน หลังถูกสั่งย้ายไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศพร้อมครอบครัวด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของตัวเอง
พล.ต.ต.ปวีณ ระบุว่า ชุดสอบสวนของเขาขยายผลจากเหตุการณ์พบหลุมฝังศพชาวโรฮิงญามากกว่า 30 ศพบนเทือกเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 กระทั่งสามารถออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้ 153 ราย และเมื่อเดือนที่แล้วผู้ต้องหา 88 คนถูกนำตัวขึ้นศาล แต่ชุดสอบสวนถูกยุบภายในเวลาเพียง 5 เดือน ทั้งๆ ที่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น โดยกลุ่มที่มีบทบาทกดดันการทำงานเรื่องนี้คือผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ซึ่งมีทั้งตำรวจไม่ดีและทหารไม่ดี และโชคร้ายที่คนเหล่านี้เป็นผู้มีอำนาจ
พล.ต.ต.ปวีณ บอกอีกว่า การค้ามนุษย์เป็นเครือข่ายใหญ่ที่มีทหาร นักการเมือง และตำรวจร่วมด้วยจำนวนมาก และระหว่างที่เขากำกับดูแลการสอบสวนคดีนี้ เคยได้รับคำเตือนมาโดยตลอด การย้ายเขาไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการส่งสัญญาณว่าพวกนั้นอยากฆ่าเขา
ที่ผ่านมา พล.ต.ต. ปวีณ แสดงความวิตกว่า ในการพิจารณาคดีครั้งต่อไปอาจมีการรอมชอมเพื่อทำให้ผู้ถูกกล่าวหาหลายคนรอดพ้นคดี เขามีกำหนดขึ้นให้การเป็นพยานคนสำคัญ และรู้ดีว่าพยานหลายคนรู้สึกถูกข่มขู่ ไม่กล้าให้การ เขาบอกด้วยว่า รู้สึกเศร้าใจ และเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมที่คนกระทำผิดจะไม่ถูกลงโทษ
เขาบอกด้วยว่า ไม่รู้ว่ารัฐบาลไทยจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการขอลี้ภัยของเขา และรู้สึกเศร้าใจลึกๆ ที่ถูกบีบให้ต้องทิ้งบ้านมาและไม่สามารถทำงานต่อได้
สำหรับคำให้สัมภาษณ์ทั้งหมดของ พล.ต.ต.ปวีณ จะแพร่ภาพออกอากาศทางรายการ 7.30 ช่องเอบีซี ของออสเตรเลียในช่วงค่ำของวันที่ 10 ธันวาคม ตามเวลาท้องถิ่น
เผยอยู่ในขั้นตอนเตรียมเอกสารขอลี้ภัย
พล.ต.ต.ปวีณ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ กับทีมข่าวอิศราว่า ยังไม่ทราบอนาคตของชีวิตตนเองและครอบครัวว่าจะเป็นอย่างไร แม้หลังลาออกจากราชการแล้วจะยังไม่มีการข่มขู่คุกคามเพิ่มเติม แต่ก็ไม่สามารถวางใจได้
ส่วนการยื่นขอลี้ภัยกับรัฐบาลออสเตรเลียนั้น อยู่ในขั้นตอนการศึกษาแนวทางและรวบรวมเอกสาร โดยเป้าหมายคือขอลี้ภัยและอยู่ในประเทศออสเตรเลียในฐานะพลเมือง
เส้นทาง พล.ต.ต.ปวีณ กับคดีค้าโรฮิงญา
พลตำรวจตรี ปวีณ เปิดใจให้สัมภาษณ์กับ “ทีมข่าวอิศรา” ในฐานะสื่อมวลชนไทยสำนักแรกเมื่อปลายเดือนตุลาคม หลังเขาถูกโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งระดับเดิมในศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเขาเชื่อว่ามีขบวนการกลั่นแกล้งเขา เพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ถูกลอบวางระเบิดสังหารเช่นเดียวกับ พลตำรวจเอกสมเพียร เอกสมญา อดีตผู้กำกับการ สภ.ยะหา จังหวัดยะลา เมื่อปี 2553 เพราะในพื้นที่นี้มีเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์อยู่เป็นจำนวนมาก
พล.ต.ต.ปวีณ ยังระบุด้วยว่า ตลอดช่วงของการทำคดี ถูกข่มขู่คุกคามจากผู้มีอิทธิพลและคนมีสีหลายครั้ง เพราะมีการออกหมายจับนายทหารยศพลโท และนายทหารสัญญาบัตรอีก 4 นาย มีการข่มขู่พยานไม่ให้เข้าให้การ ขณะที่การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจชั้นนายพล ก็ไม่มีตำรวจในชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่ดีขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว
ทั้งนี้ พล.ต.ต.ปวีณ ได้ขอให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่งโยกย้ายเขาไปปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มิฉะนั้นอาจตัดสินใจลาออกจากราชการ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดี จึงตัดสินใจยื่นใบลาออกเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เมื่อเรื่องของเขาตกเป็นข่าวครึกโครมทางสื่อมวลชน ทำให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เชิญเขาเข้าพบเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน หลังจากนั้นท่าทีของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็อ่อนลง และรับว่าจะทบทวนใบลาออกของ พล.ต.ต.ปวีณ ทว่าอีกไม่กี่วันต่อมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็อนุมัติใบลาออก ทำให้ชีวิตราชการของ พล.ต.ต.ปวีณ สิ้นสุดลง ทั้งๆ ที่ยังเหลืออายุราชการอีกถึง 3 ปี
ย้อนรอย 6 เดือนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา
สำหรับคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา เริ่มขึ้นเมื่อมีการพบสุสานและศพชาวโรฮิงญาจำนวนมากบนเทือกเขาแก้ว บ้านตะโละ หมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนรอยต่อระหว่างไทยกับมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แต่งตั้งให้ พล.ต.ต.ปวีณ เป็นหัวหน้าชุดสอบสวน และได้ทำคดีร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับพนักงานอัยการ กระทั่งสามารถออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง 153 ราย จับกุมได้ 91 ราย มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่นในภาคใต้ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ และนายทหาร
ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 ได้มีการสรุปสำนวนคดีพร้อมความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด และนำสำนวนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม
จากนั้นวันที่ 9 ตุลาคม ศาลจังหวัดนาทวีได้อ่านคำสั่งประธานศาลฎีกาให้โอนย้ายคดีค้ามนุษย์ของ สภ.ปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ไปยังศาลอาญาแผนกคดีค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นแผนกที่ได้เปิดขึ้นใหม่เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว รวมไปถึงความต่อเนื่องในการดำเนินการทางคดี
ปัจจุบันคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา อยู่ระหว่างการสืบพยานของศาลอาญาแผนกคดีค้ามนุษย์ หลังจากนัดตรวจพยานหลักฐานนัดแรกเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : เว็บข่าวเดอะ การ์เดี้ยน ที่นำำเสนอข่าว พล.ต.ต.ปวีณ เตรียมลี้ภัยในออสเตรเลีย
ลิงค์ข่าวจากเดอะ การ์เดี้ยน : http://www.theguardian.com/world/2015/dec/10/thailands-most-senior-human-trafficking-investigator-to-seek-political-asylum-in-australia?CMP=share_btn_tw