หมายเหตุจากชายแดนใต้...จับตา "กลุ่มสุดโต่ง" รับแนวคิดก่อการร้าย
คนในพื้นที่ชายแดนใต้คาดเดาสาเหตุของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ไปต่างๆ นานา แต่หลายคนเชื่อว่าน่าจะมีชนวนจากการเดินหน้ากระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขแบบเต็มสูบทั้งฝั่งมาเลเซียและไทย
โดยเฉพาะการเร่งรัดดึงแกนนำบีอาร์เอ็นที่ถือว่าเป็น "ตัวจริง" เข้ามาร่วมโต๊ะพูดคุย เพื่อ "บังคับวิถี" ให้กระบวนการพูดคุยสำเร็จมรรคผลทันวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ ดร.มหาธีร์ โมฮาหมัด อย่างน้อยก็ต้องมีข้อตกลงสันติภาพจาก "ตัวจริง" เป็นผลงานสุดท้ายฝากไว้ก่อนอำลาเวทีการเมือง
ข้อมูลจาก ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ระบุชัดถึงขนาดว่า แกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่พำนักอยู่ในมาเลเซียถูกกดดันจนอยู่บ้านไม่ได้ ต้องย้ายที่พักไปเรื่อยๆ ขณะที่ระดับรองๆ ลงมาและแนวร่วมก็หนีเข้าไทย แล้วก็โดนกดดันหนักจากเจ้าหน้าที่ไทยเหมือนกัน บรรดาคนในขบวนการจึงจับมือกันก่อเหตุรุนแรงเพื่อส่งสัญญาณตอบโต้
ข้อมูลนี้ดูจะได้รับการขานรับจากคนในพื้นที่มากพอสมควร แม้จะไม่ได้สอดคล้องกันเป๊ะๆ ก็ตาม...
บุษยมาส อิศดุลย์ ประธานกลุ่มเยาวชนนอกระบบบ้านบุญเต็ม แกนนำคนพุทธชายแดนใต้ วิเคราะห์ว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงต้องการแสดงศักยภาพให้เห็นว่ารัฐบาลเปิดวงพูดคุยไม่ถูกตัว ไม่ใช่ตัวจริงที่ควบคุมสถานการณ์ได้ นี่คือสิ่งที่ฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐพยายามสื่อมาตลอด และแสดงออกให้เห็นว่าพวกเขายังมีศักยภาพ เพิ่มระดับความรุนแรงได้ทุกเวลา มีกำลังคน มีเครือข่ายครบ ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงค่อนข้างประมาท เพราะความไม่สงบเกิดมาตลอด 15 ปี ทำให้เกิดความชินชา
ด้านเยาวชนมุสลิมจากจังหวัดยะลาที่เข้าถึงขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ บอกคล้ายๆ กันว่า การพูดคุยสันติสุขที่รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการ เป็นการไปคุยกับใครก็ไม่รู้ที่อยู่นอกพื้นที่ แต่ขบวนการที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ไม่ได้เจรจาด้วย และที่ผ่านมายังมีการสร้างเงื่อนไขจากผู้มีอิทธิพล กลุ่มค้ายาเสพติด และคนมีสีจำนวนไม่น้อย เพื่อหาผลประโยชน์จากสถานการณ์ ขณะที่แนวร่วมขบวนการบางส่วนก็ผันตัวเองไปรับจ้างผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่สรุปยากว่าแต่ละเหตุการณ์เป็นฝีมือของใครกันแน่
จากมุมมองของคนในพื้นที่ ขยับไปที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายความมั่นคงกันบ้าง โดยสถานการณ์ร้อนตั้งแต่ก่อนปีใหม่ (ระเบิดนางเงือกสมิหลา ป่วนนราธิวาส) ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า สาเหตุหนึ่งมาจากการแสดงศักยภาพเพื่อต่อต้านกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข เพราะรัฐบาลไทยและมาเลเซียจับมือกันเดินหน้า รวมทั้งกดดันให้ฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐเข้าร่วมโต๊ะเจรจา
อีกประเด็นหนึ่งที่ฝ่ายความมั่นคงให้น้ำหนักมากเป็นพิเศษก็คือ คำสัมภาษณ์กับสื่อไทยของผู้นำมาเลเซียช่วงกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ที่ยืนยันชัดๆ ว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อสู้ในภาคใต้ของไทย ให้เลิกคิดเรื่องเอกราช เพราะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ควรหันมาพิจารณาเรื่องเขตปกครองตนเอง หรือเขตปกครองพิเศษที่ให้อำนาจคนพื้นถิ่นกำหนดรูปแบบการปกครองของตนเอง
ประเด็นนี้แม้หลายภาคส่วนในสังคมไทยจะแสลงหูเรื่อง "เขตปกครองพิเศษ" แต่ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า ผู้ที่เสียหายมากกว่าคือขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่าง "บีอาร์เอ็น" เพราะเท่ากับการต่อสู้ บาดเจ็บล้มตายของพวกเขาไม่มีความหมาย แถมลดทอนคุณค่าด้วยการยืนยันว่าไม่มีทางได้เอกราช เหตุนี้เองจึงทำให้กลุ่มขบวนการต้องฮึดขึ้นมาระดมก่อเหตุรุนแรงครั้งใหญ่เพื่อตอบโต้
ส่วนสาเหตุที่มีความรุนแรงยืดเยื้อต่อเนื่องมานานร่วมเดือน ฝ่ายความมั่นคงมองว่าน่าจะเกิดจากมีการปิดล้อม ตรวจค้น และวิสามัญฆาตกรรมฝ่ายที่เคลื่อนไหวหลายครั้ง ทำให้มีการเปิดปฏิบัติการล้างแค้นตอบโต้เป็นลูกโซ่ตามมา
นี่คือบทสรุปของฝ่ายความมั่นคง ณ เวลานี้ แต่ก็ยังไม่ค่อยตอบโจทย์คาใจใครหลายคนที่ว่าทำไมต้องฆ่าพระด้วย...
ข้อมูลระดับพื้นที่ที่ระบุว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเพราะฝ่ายความมั่นคงเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ยิงปะทะ และวิสามัญฆาตกรรมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหลายกรณี และหากพิจารณาเฉพาะเหตุยิงพระวัดโคกโก อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันศุกร์ที่ 18 มกราคม น่าจะเชื่อมโยงกับเหตุเจ้าหน้าที่วิสามัญฯแนวร่วมคนสำคัญที่อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน โดยกลุ่มคนร้ายน่าจะเป็นกลุ่มที่กบดานบน "เขาตะเว" ซึ่งช่วงก่อนปีใหม่ ก็มีปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น และทลายฐานพักเชิงเขาตะเวด้านอำเภอจะแนะด้วย
"เทือกเขาตะเว" เป็นภูเขาลูกใหญ่ในจังหวัดนราธิวาส มีความสูง 1,800 เมตร และมีความยาวของเทือกเขาถึง 35 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอ ทั้ง ระแงะ เจาะไอร้อง สุไหงปาดี จะแนะ และสุคิริน เส้นทางขึ้น-ลงโดยรอบสามารถทะลุไปยังพื้นที่อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส และ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ได้
อำเภอจะแนะคือเขาตะเวฝั่งตะวันตก เมื่อคนร้ายถูกทลายเพิงพัก ก็เชื่อว่าน่าจะหลบหนีขึ้นไปซ่อนตัวบนเทือกเขา และเมื่อสบโอกาสก็ลงมาปฏิบัติการแก้แค้น ซึ่งก็สามารถลงมาทางฝั่งตะวันออกได้ ก็คือด้านอำเภอเจาะไอร้องที่เป็นรอยต่อกับอำเภอสุไหงปาดี
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 กลุ่มคนร้ายกว่าครึ่งร้อยลงมาจากเขาตะเว บุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง เพื่อโจมตีฐานทหารพรานที่ตั้งอยู่ติดกัน เหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนทั้งในและนอกพื้นที่ชายแดนใต้
ขณะที่วัดโคกโกอยู่ห่่างจากโรงพยาบาลเจาะไอร้องไม่มากนัก เพราะเป็นพื้นที่ต่อเนื่องกัน ข้อมูลจากระดับพื้นที่จึงคาดว่าคนร้ายน่าจะมาจากเขาตะเว และเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงกลุ่มเดิมที่ปฏิบัติการอย่างอุกอาจ เหี้ยมโหด ไม่สนใจกติกาสากลใดๆ ดังเช่นที่เคยก่อเหตุยึดโรงพยาบาลมาแล้ว
อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ท่านหนึ่งให้ข้อมูลกับ "ทีมข่าวอิศรา" ว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงกลุ่มนี้รับแนวคิดสุดโต่งจากผู้ก่อการร้ายในต่างประเทศ แม้จะยังไม่พบความเชื่อมโยงเชิงกายภาพ แต่ก็ต้องเร่งจัดการ เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม
"มือไม้ที่ทำเรื่องแบบนี้ แต่เดิมก็มีอยู่แล้ว แต่ไม่มากนัก เช่น กลุ่มที่ฆ่าตัดคอ ฆ่าแล้วเผา แต่หลังๆ น่าจะไปรับแนวคิดมาจากต่างประเทศด้วย ทำให้มีการก่อเหตุแบบไร้มนุษยธรรมและไม่สนใจกติกา ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ต้องใช้กฎหมายจัดการให้ได้อย่างเด็ดขาด" อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว
นี่คือความน่ากลัวของสถานการณ์ที่ปลายด้ามขวาน เพราะแม้กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจะขยับเดินหน้าจากความร่วมมืออย่างแข็งขันของสองประเทศ แต่กลุ่มคนที่ต่อต้านการพูดคุยก็มีศักยภาพสูงที่จะสร้างสถานการณ์ โดยไม่สนใจวิธีการและความถูกต้องชอบธรรมใดๆ เลย
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านประกอบ :
ยิงถล่มวัดในสุไหงปาดี นราธิวาส พระมรณภาพ-บาดเจ็บ
แม่ทัพภาค 4 ขอพระงดบิณฑบาตทั่วชายแดนใต้
ได้เบาะแส "ทีมฆ่าพระ" แฉแหล่งกบดานประเทศเพื่อนบ้าน
ฮิวแมนไรท์วอทช์ ประณามโจมตีพระ-วัด "อาชญากรรมสงคราม"
พระครูประโชติฯ "ไม่ขอเลิกทำความดี...ไม่หนีเพราะนี่คือแผ่นดินไทย"