- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- ศาล ปค.สูงสุดสั่งเพิกถอน ตั้ง รก.อธิการฯ ม.เทคโนโลยีฯอีสาน ผล ปย.ทับซ้อน
ศาล ปค.สูงสุดสั่งเพิกถอน ตั้ง รก.อธิการฯ ม.เทคโนโลยีฯอีสาน ผล ปย.ทับซ้อน
ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืน เพิกถอนมติสภา ม.เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ยุค ‘สุจินต์’ ปมตั้ง ‘วินิจ โชติสว่าง’ รก.อธิการฯ ทั้งที่ เกษียนแล้ว-วันประชุมสวมหมวก กก. ยกมือโหวตให้ตัวเองนั่งเก้าอี้ มิชอบ มีผล ปย.ทับซ้อน

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุด ได้อ่านคำพิพากษา คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ระหว่าง นายจิระพันธ์ ห้วยแสน นายธนากร บูรณเพชร นายสุขชัย เจริญไวยเจตน์ นายจรัฐ มงคลวัย ผู้ฟ้องคดีที่ 1-4 กับ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (นายสุจินต์ จินายน) และสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-2 กรณีสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน โดยนายกสภาฯ ได้มีมติเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2552 เห็นชอบแต่งตั้ง รศ.วินิจ โชติสว่าง เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีฯ โดยศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น ให้เพิกถอนมติของสภามหาวิทยาลัยฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2552 และเพิกถอนคำสั่งของสภามหาวิทยาลัยฯ ลงวันที่ 14 ส.ค. 2552 ที่แต่งตั้งให้ รศ.วินิจ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2552 โดยวินิจฉัยว่า เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่มาของคดีสืบเนื่องจาก เมื่อ 25 มิ.ย. 2552 สภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้ประชุมพิจารณาเลือกผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการฯ แทน รศ.วินิจ โชติสว่าง ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิการฯ และจะพ้นตำแหน่งจากครบวาระในวันที่ 14 ส.ค. 2552 ที่ประชุมมีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิการออกเสียงเลือกตั้งอธิการฯ จนหาข้อยุติไม่ได้ นายสุจินต์ นายกสภาฯ ได้บอกว่า จะลาออกจากตำแหน่ง แต่ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
ต่อมา ในการประชุมครั้งที่ 8/2552 เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2552 ที่ประชุมได้มีมติแต่งตั้ง รศ.วินิจ ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิการฯ ในขณะนั้นและจะพ้นตำแหน่งในวันที่ 14 ส.ค. 2552 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2552 เป็นต้นไป
ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 เห็นว่า
1.มติของสภามหาววิทยาลัยดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจาก นายสุจินต์ได้ประกาศลาออกจากนายกสภาฯ ต่อที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยฯ ไปแล้ว และที่ประชุมรับทราบเจตนารมย์ในการลาออกของนายสุจินต์แล้ว
2.ในวันประชุมเพื่อพิจารณาวาระดังกล่าว อธิการบดีและรองอธิการฯ คนเดิมยังไม่พ้นจากตำแหน่ง สภามหาวิทยาลัยฯ จึงไม่มีอำนาจแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี มติของสภามหาวิทยาลัยฯ ขัดต่อระเบียบปฏิบัติของการรักษาราชการแทนที่สามารถรักษาราชการแทนได้ไม่เกิน 180 วัน เท่านั้น
3.รศ.วินิจ จะครบวาระการดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2552 เป็นข้าราชการบำนาญที่เกษียณอายุราชการแล้ว จึงไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าวได้
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 ให้เพิกถอนมติของนายกสภาฯ ในการประชุมครั้งที่ 8/2552 เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2552 และคำสั่งของของสภามหาวิทยาลัยฯ ครั้งที่ 009/2552 ลงวันที่ 14 ส.ค. 2552 ที่แต่งตั้งให้ รศ.วินิจ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2552 โดยให้มีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่มีมติและคำสั่งดังกล่าว
ผู้ถูกฟ้องคดี อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาในประเด็นที่ว่า มติของสภามหาวิทยาลัยฯ ดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันประชุมสภามหาวิทยาลัยฯ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2552 ดังกล่าว มีกรรมการเข้าร่วมประชุม 23 คน โดยมี นายสุจินต์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นประธานในการประชุม มีวาระพิจารณาให้เลือกผู้รักษาราชการแทนอธิการฯ มีผู้ได้รับการเสนอชื่อคือ รศ.วินิจ ,นายโอภาส เขียววิชัย และ ผศ.วิโรจน์ ซึ่งทั้ง 3 คน เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ และนั่งอยู่ในที่ประชุมด้วย และภายหลังจากที่มีการเสนอชื่อแล้ว นายโอภาส และ ผศ.วิโรจน์ ได้ขอสละสิทธิ์ที่จะได้รับการคัดเลือก ที่ประชุมเห็นชอบให้ รศ.วินิจ รักษาราชกาแทนอธิการฯ จำนวน 19 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง ประธานที่ประชุม คือ นายกสภามหาวิทยาลัยฯ จึงมีคำสั่งลงวันที่ 14 ส.ค. 2552 แต่งตั้ง รศ.วินิจ รักษาราชการแทนอธิการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2552 เป็นต้นไป
ศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า เมื่อ รศ.วินิจ ซึ่งเป็นกรรมการของสภามหาวิทยาลัยฯ อยู่ในที่ประชุมครั้งดังกล่าว ได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทนอธิการบดี และได้ทำการพิจารณา หรือร่วมพิจารณาเลือกผู้รักษาราชการแทนอธิการฯ และ ลงมติเห็นชอบให้ตนเองเป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการฯ จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความเป็นกลาง ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ดังนั้น มติของสภามหาวิทยาลัยฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2552 ที่เห็นชอบให้ รศ.วินิจ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องอุทธรณ์ สรุปว่า
1.มีผู้ได้รับการเสนอชื่อเพียงคนเดียวคือ รศ.วินิจ เป็นกรณีจำเป็นไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นจะปฏิบัติหน้าที่แทนได้
2.เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีจะครบวาระในวันที่ 14 ส.ค. 2552 หากไม่รีบดำเนินการแต่งตั้งจะเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์สาธารณะ และขัดต่อหลักการบริหารราชการแผ่นดิน
ศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เพียงแต่บัญญัติว่า เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคู่กรณีเองจะทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้เท่านั้น ไม่ได้ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคู่กรณีมีสิทธิได้รับการพิจารณาทางปกครอง และก็ไม่ได้ห้ามมิให้มีการพิจารณาทางปกครองดังกล่าว (ไม่ได้ห้ามไม่ให้มีการประชุม) ซึ่งในกรณีนี้ ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยฯ ก็สามารถดำเนินการประชุมเพื่อพิจารณามติเห็นชอบให้ รศ.วินิจ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการฯ ต่อไปได้ เพียงแต่ต้องไม่ให้ รศ.วินิจ ร่วมพิจารณาในเรื่องดังกล่าว โดยออกไปจากห้องประชุมเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน สภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน มี ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นนายกสภาฯ ผศ.ดร.วิโรจน์ ลิ้มไขแสง ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ อุปนายกสภาฯ มีชื่อ นายจเร พันธ์เปรื่อง อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นหนึ่งในกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
(อ่านประกอบ : 'บิ๊กตู่' ใช้ม.44 ปลด 'จเร พันธุ์เปรื่อง' เลขาสภาฯ เข้ากรุที่ปรึกษาสำนักนายกฯ)
(มีเอกสาร คำพิพากษาด้านล่าง)





