พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์:หยุดถามเรื่องจะรัฐประหาร-สร้างความรู้สึกไม่ดีต่อกองทัพ
"...ขอย้ำว่ากองทัพไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลอะไรได้ และไม่ต้องมาถามแล้วด้วยกองทัพจะไปรัฐประหารอะไรกัน เพราะมันเป็นวาทกรรมที่ถามแล้วถามเล่า และมันเป็นถ้อยคำที่ทำให้เด็กซึ่งยังไม่รับรู้อะไรมากมาย เขาเกิดความรู้สึกว่ากองทัพมันไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่ความจริงแล้วความจริงกองทัพเรานั้นถือเป็นผู้นำรายแรกๆที่นำกำลัง ยุทธโธปกรณ์เข้าไปช่วยเหลือเวลาที่เกิดปัญหาต่างๆ ต่างชาติเขามีแต่ชื่นชมกับหน้าที่ของกองทัพตรงนี้ แต่ที่เขาขำกันก็คือที่เราทะเลาะกัน พอเราทะเลาะกันเศรษฐกิจก็พัง แล้วใครที่สบาย ก็คนที่อยู่ต่างๆประเทศ คนที่มีเงินอยากจะไปไหนก็ไป อยากจะทำอะไรก็ทำ..."
เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2562 ที่กรมทหาราบที่ 1 รักษาพระองค์ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานในวันสถาปนากองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ครบรอบ 112 ปี โดยมี องค์มนตรี และอดีตผู้บัญชาการทหารกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ เข้าร่วม อาทิ พล.อ.วิมล วงศ์วานิช ,พล.อ.ชัยณรงค์ หนุนภักดี ,พล.อ.สมทัศน์ อัตตะนันทน์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด,พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี ,พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายาองคมนตรี ,พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี และพลโทณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ แม่ทัพภาคที่ 1
พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ได้กล่าวตอนหนึ่งถึงสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศว่า “ผมอยากจะให้ประชาชนทั้งหมดและสื่อมวลชนทำความเข้าใจด้วยว่า ผมมักจะใช้คำว่า General Prayuth has to be on his own path หมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นจะต้องอยู่บนเส้นทางทางการเมืองของตัวเอง Army has to step back หมายความว่ากองทัพบกจะต้องอยู่กับส่วนงานของกองทัพบก มาเป็นทหารอาชีพ ท่านจะเห็นได้ว่าปัจจุบันนั้นกองทัพบกก็มีความสง่างามในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องระเบียบวินัยต่างๆ
แต่ผมนั้นไม่ได้ทำงานการเมือง แต่ทำงานในส่วนของกองทัพบกก็คือการปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และทำหน้าที่ปกป้อง ช่วยเหลือประชาชน อย่างจริงจัง
เรื่องต่างๆในการเมือง ณ ขณะนี้ถือได้ว่ามีประเด็นที่มีการบิดเบือนในหลายประการ ผมจึงต้องออกมาพูดให้ประชาชน ให้สื่อมวลชนได้ช่วยทำความเข้าใจด้วย เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันนั้นกองทัพมีจุดอ่อนในเรื่องโซเชียล แต่สื่อบางแบบนั้นมีความสามารถจะเข้าใจประชาชนในแต่ละรุ่นได้ ต้องยอมรับว่าสื่อโซเชียลนั้นเป็นสิ่งที่ทรงอาวุธยิ่งกว่ากองทัพมีอยู่มาก
ปัญหาในปัจจุบันนั้นสิ่งที่สำคัญมาจากเรื่องการไม่ยอมรับในกติกา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำหน้าที่ก็เหมือนกับการแข่งขันฟุตบอล ซึ่งแข่งกันก็มีคนแพ้ชนะ แต่ว่ากองเชียร์กลับยังไม่ยอมแพ้ ซึ่งมันไม่ใช่ ถ้าประเทศไทยไม่ยอมรับกติกาที่มีอยู่ แบ่งแยกระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการ ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมา
ผมถามว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ผมถามว่าเราเป็นคนไทยด้วยกันหรือเปล่า วาทกรรมนี้ถูกแบ่งมาเพื่ออะไร เพื่อแบ่งแยกประชาชนที่ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดก็ตามได้คะแนนเสียงแปดล้าน เจ็ดล้านสี่ล้าน ห้าล้าน เมื่อเอามารวมสามสิบกว่าล้านเสียง นั่นหมายรวมว่าเราต้องการให้มันเกิดสงครามกลางเมืองแบบที่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วหรืออย่างไร
ณ วันนี้ยังคิดถึงเรื่องการแบ่งฝ่ายกันอยู่หรอครับ ทำไมไม่เคารพกติกา แล้วก็ไปสู้กันในสภา ชีวิตผมนั้นเห็นทั้งการปฏิวัติรัฐประหาร การเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้กระทั่งสัตยาบันที่ทำกันตั้งแต่สมัย พ.ศ. 2534 มีนักการเมืองที่ทำสัตยาบันจะตั้งพรรคการเมืองกัน แต่สุดท้ายก็ฉีกสัตยาบันทิ้ง นี่คือวาทะ คือเกมการเมืองที่ถูกชี้นำโดยนักการเมืองแบบเดิมๆ หรือพวกซ้ายตกขอบ ผมถามว่านักเรียน นิสิต นักศึกษา ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงครั้งแรก ผมชื่นชมพวกเราทหารเราชื่อนชมที่ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงกัน
แต่เมื่อท่านใช้สิทธิเลือกไปแล้ว ทำไมนักการเมืองไม่มาจับมือกันแล้วก็ไปต่อสู้กันในสภา เพื่อให้ประเทศก้าวต่อไปข้างหน้า เป็นรัฐบาล เป็นฝ่ายค้าน ตามระบบไป
ผมชื่นชมเศรษฐี คนที่มีอำนาจ คนที่มีเงินหลายคนที่ได้ผิดพลาด กระทำการทุจริต แต่เขาเหล่านั้นยอมรับกติกาของประเทศ ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม และยอมรับว่าศาลของประเทศไทยซึ่งได้ตัดสินโทษจำคุกเขา และเขาก็ยอมรับโทษแต่โดยดี
ตรงนี้ผมต้องขอยกย่อง และหลายท่านก็ได้พ้นโทษออกมาแล้ว มาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว นี่คือคนที่มีน้ำใจนักกีฬา ยอมรับกระบวนการตัดสิน กระบวนการยุติธรรมไทย ไม่ใช่แบบคนที่ไม่เคยยอมรับกระบวนการ แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไร เมื่อศาลสูง ศาลฎีกา เป็นผู้ทรงอำนาจด้านกระบวนการยุติธรรมสูงสุดของประเทศ ดังนั้น ต้องขอร้องว่านิสิตนักศึกษา ครูอาจารย์ ข้าราชการ ประชาชนหลายท่านได้ไปเรียนต่างประเทศ หลายท่านก็ได้ทุนจากในวังไปร่ำไปเรียนมา แต่สิ่งที่ท่านไปร่ำเรียนมา ผมขอเน้นย้ำว่าท่านจะไปเรียนระบอบประชาธิปไตยของประเทศอะไรมา ผมไม่ได้ว่า แต่ระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีวัฒนธรรมของระบอบประชาธิปไตยของตัวเอง
เมื่อท่านไปอยู่ ไปศึกษาในประเทศอื่น ทำไมท่านต้องไปปรับตัวให้เข้ากับระบอบประชาธิปไตยของประเทศอื่น ให้เป็นไปตามระเบียบของเขา ในทุกวันนี้ที่ประเทศส่วนมากในโลกล้วนปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
สำหรับคำว่าเผด็จการนั้นผมถามว่านับตั้งแต่ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามาปกครองประเทศ สิ่งนี้หรือที่เราเรียกว่าเผด็จการ ถ้าเผด็จการจริง ผมก็ไม่อยากจะเอ่ยชื่อประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการจริงเหมือนกันหรือทั้งระบอบเผด็จการจริงในรูปแบบประชาธิปไตย
เราอยู่กันแบบไทยๆ นี่คือวัฒนธรรมของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ก็ขอให้รักกันนะครับ
ท่านจะไปร่ำไปเรียนที่ไหนมา ไปเอาตำราประเทศไหน ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อใคร แต่จะบอกว่าเอาเข้ามาแล้วมาดูด้วยว่าจะมาดัดแปลงกันอย่างไร แต่ไม่ใช่พยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่าไปเอาความเป็นซ้ายจัดที่ไปเรียนมาแล้วดัดจริต ประเทศอื่นเขาไม่มีที่จะมีแบบนี้ นี่คือสยามเมืองแห่งรอยยิ้มที่เรามีระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆเป็นแบบนี้ แต่ระบอบประชาธิปไตยของเรานั้นสิ่งที่ต้องการที่สุดก้คือต้องการให้คนไทยรักกัน หันหน้าเข้าหากัน ผมก็ต้องขอฝากด้วยว่าหยุดวาทกรรมที่มันเกิดขึ้นเสียที และให้มีพิสูจน์กันด้วยผลงานและฝีมือ ผมเองถ้าทำงานไม่ดีก็ต้องถูกย้ายไปเช่นกัน
เพราะฉะนั้นทุกคนขอให้โอกาสกัน เกมใครเกมมัน เมื่อเกมตัดสินแล้วไปโทษกรรมการ ถ้าทำแบบนี้มันก็ไม่มีวันจบ วัฎจักรแห่งการล้างแค้นมันไม่มีวันจบ ดังนั้นผมขอให้เลิกเสียเถอะ
ขอย้ำว่ากองทัพไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลอะไรได้ และไม่ต้องมาถามแล้วด้วยกองทัพจะไปรัฐประหารอะไรกัน เพราะมันเป็นวาทกรรมที่ถามแล้วถามเล่า และมันเป็นถ้อยคำที่ทำให้เด็กซึ่งยังไม่รับรู้อะไรมากมาย เขาเกิดความรู้สึกว่ากองทัพมันไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่ความจริงแล้วความจริงกองทัพเรานั้นถือเป็นผู้นำรายแรกๆที่นำกำลัง ยุทธโธปกรณ์เข้าไปช่วยเหลือเวลาที่เกิดปัญหาต่างๆ ต่างชาติเขามีแต่ชื่นชมกับหน้าที่ของกองทัพตรงนี้ แต่ที่เขาขำกันก็คือที่เราทะเลาะกัน พอเราทะเลาะกันเศรษฐกิจก็พัง แล้วใครที่สบาย ก็คนที่อยู่ต่างๆประเทศ คนที่มีเงินอยากจะไปไหนก้ไป อยากจะทำอะไรก็ทำ
วันนี้ผมว่าอยากจะพูดกับสื่อต่างชาติด้วยว่า ถ้าประเทศคุณมีคนแบบนี้อยู่ แล้วคุณจะรู้สึกอย่างไร”
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/