ตลาดแรงงานปีหน้าจะเป็นเช่นไร? (ตอนที่ 1)
ถ้าจะให้คาดประมาณ ปี 2561 ว่าจะเป็นปีที่สดใสของตลาดแรงงงานหรือไม่ ขอตอบได้เลยว่า เป็นไปได้ยากถ้ายังจะพัฒนาเศรษฐกิจเหมือนก่อนปี 2556 แต่ที่จริงแล้วรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ได้ทำอะไรไปมากในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ด้วยการวางแผนพัฒนาประเทศในระยะยาว ซึ่งยังไม่มีรัฐบาลก่อนหน้านี้เคยทำมาก่อน ปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ขนส่ง และระบบ โลจิสติกส์เสียใหม่ เป็นต้นเพียงแต่ยังไม่เห็นผลในทันทีในขณะนี้เท่านั้น
นับตั้งแต่รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขึ้นบริหารประเทศตั้งแต่กลางปี 2557 จนถึง ปลายปี 2560 โดยมุ่งมั่นที่จะบริหารประเทศให้เกิด ความมั่นคง ความมั่งคั่งและ ความยั่งยืน ความพยายามในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศหลุดพ้นจากหุบเหวแห่งความตกต่ำและฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้น ความพยายามที่จะเร่งอุปสงค์ของตลาดแรงงานให้ซึบซับแรงงานใหม่แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้การมีงานทำสูงดังเช่นในปี 2556 และปี 2557 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาล คสช.
จากภาพที่ 1 จะเห็นว่าการจ้างงานถึงแม้จะผันผวนไปตามฤดูกาล การจ้างงานจะสูงสุดในช่วงกลางปี(มิถุนายน-สิงหาคม)ของทุกปีและจะไปต่ำที่สุดในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคมของทุกปี ในช่วงปี 2557 ซึ่งรัฐบาล คสช. บริหารงานเต็มปี แต่การจ้างงานก็ยังต่ำกว่าปี 2556 เกือบทุกเดือนโดยเฉพาะในเดือน เมษายน การจ้างงงานปี 2557 ต่ำกว่าปี 2556 ประมาณ 7 แสนคน และในเดือนที่มีการจ้างงานสูงสุด คือ เดือน มิถุนายน การจ้างงานต่ำกว่าปี 2556 ถึงประมาณ 5 แสนคนในช่วงนี้น่าจะเป็นสภาพตามปกติที่รัฐบาลยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้เกิดการลงทุนใหม่จึงยังไม่มีโครงการใหม่และตำแหน่งงานใหม่ๆเกิดขึ้นมากพอที่จะดูดซับอุปทานแรงงานเก่าและใหม่ได้หมดทำให้การมีงานทำลดลง
สถานการณ์การจ้างงานอีก 2 ปี ถัดมาคือ ในปี 2559 ก็ยังไม่ดีขึ้นเกือบทั้งปี การจ้างงานยังต่ำกว่าปี 2556 เกือบทุกเดือนโดยเฉพาะช่วงหลังของปี การจ้างงานในปี 2559 และ 2560 (ประมาณการโดยผู้เขียน 2 เดือนสุดท้าย)ลดลงเป็นอย่างมาก ต่อเนื่องกันหลายเดือน ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อความสามารถในการหารายได้มาเลี้ยงครอบครัวของประชากรวัยแรงงานให้เพียงพอซึ่งต้องทำด้วยความยากลำบากถึงแม้รัฐบาลจะใช้ความพยายามลดความทุกข์ยากโดยการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อมองอีกด้านหนึ่งของเหรียญก็คือ เมื่อการจ้างงานลดลงก็จะส่งผลให้กำลังแรงงานที่ไม่ได้รับการจ้างงาน (คนว่างงาน)จะมีจำนวนสูงขึ้นทุกปีเช่นเดียวกัน ดังปรากฎในภาพที่ 2 เมื่อ คสช.เข้ามาปีแรก 2556 การว่างงานโดยรวมต่ำกว่าร้อยละ 1 โดยมีการว่างงานสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 3.6 แสนคน ปี 2557 การว่างงานสูงที่สุดในเดือนมิถุนายนสูงถึง4.5 แสนคน และเมื่อพิจารณาข้อมูลจำนวนการว่างงานทั้งปีก็พบว่า เปรียบเทียบปีต่อปีแล้ว ปี 2557 มีการว่างงานสูงกว่าปี 2556 ถึง 8 ใน 12 เดือน สถานการณ์การว่างงานยังตกต่ำต่อเนื่องไปอีกเมื่อการมีงานทำยังไม่ค่อยฟื้นตัว อันเกิดจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น การส่งออกตกต่ำฟื้นตัวยังไม่มากพอ ราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญๆตกต่ำอย่างกว้างขวาง เป็นต้น ส่งผลให้จำนวนการว่างงานยังสูงกว่าช่วงเวลาเดือนเดียวกันถึง 10 เดือน ทั้งในปี 2559 และ 2560 (ประมาณการ) จึงพอที่จะอนุมานได้ว่า รัฐบาลกำลังเผชิญทั้งปัญหาการจ้างงานถดถอยและการว่างงานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นถ้าจะให้คาดประมาณไปในปี 2561 ว่าจะเป็นปีที่สดใสของตลาดแรงงงานหรือไม่ ขอตอบได้เลยว่าเป็นไปได้ยากถ้ายังจะพัฒนาเศรษฐกิจเหมือนก่อนปี 2556 แต่ที่จริงแล้วรัฐบาลภายใต้การนำของท่านพลเอก ประยุทธ์ได้ทำอะไรไปมากในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ด้วยการวางแผนพัฒนาประเทศในระยะยาวซึ่งยังไม่มีรัฐบาลก่อนหน้านี้เคยทำมาก่อน ปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ขนส่ง และระบบ โลจิสติกส์เสียใหม่เป็นต้นเพียงแต่ยังไม่เห็นผลในทันทีในขณะนี้เท่านั้น
จากที่กล่าวมาในภาพรวมทำให้เห็นชัดเจนในช่วงเวลาที่ผ่าน ถึงแม้รัฐบาลจะใช้ความพยายามพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องภายใต้ภาวะการส่งออกที่มีการแข่งขันอย่างสูง แต่ประเทศกลับยังจมปรักอยู่กับการพึ่งพาตนเองไม่ได้มากนัก เช่น การขยายตัวของเศรษฐกิจต้องพึ่งพาการส่งออกซึ่งขับเคลื่อนโดยบรัษัทขนาดใหญ่จากต่างประเทศการพึ่งพาการส่งออกยังมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม แต่เมื่อการส่งออกไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วตามที่คาดหวังไว้ รัฐบาลก็ต้องหันมาอาศัยตัวกระตุ้นภายในประเทศซึ่งมีสัดส่วนต่อ ผลิตภัณฑ์มวลรวมที่ต่ำกว่าการส่งออกมากเช่นการใช้จ่ายในการบริโภคของเอกชนแต่ก็มีปัญหาในเรื่องของรายได้ของประชาชนมากกว่า 24% ของคนทำงานซึ่งมีรายได้จากการเกษตรที่มีราคาต่ำที่สุดในรอบหลายปี เช่นราคาข้าว ราคายาง ราคากุ้ง ราคาปาล์ม ฯลฯ ล้วนแต่ก็ยังไม่สามารถจะฟื้นตัวได้โดยง่าย เกษตรกรแต่ละครัวเรือนบางภาคที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวเหล่านี้รายได้ลดลงมีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบมากกว่าสองแสนบาท จึงไม่มีจิตใจจะมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อช่วยชาติ เพราะตัวเองกับครอบครัวยังลำบากอยู่มาก (ผู้อยู่ในทะเบียนยากจนของรัฐส่วนมากเป็นแรงงานนอกระบบและเกษตรกรมากกว่า 10 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 3 ของคนหาเงิน)
เมื่อหันมาหาเรื่องของการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ก็เผชิญปัญหาหลายประการที่ไม่เอื้อให้ต่างชาติใหม่ๆ นำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่อง ขาดแคลนแรงงงานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ อุตสาหกรรมเดิมส่วนใหญ่เป็น SMEs มีจำนวนมากกว่าร้อยละ 90 ของสถานประกอบการ ที่มีข้อจำกัดในเรื่อง ทุน เทคโนโลยี นวัตกรรมที่เป็นของตัวเองและมีขีดความสามารถในการตลาดและการส่งออกจำกัด จริงอยู่ที่รัฐบาลใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะช่วยปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและภาคการค้าและบริการให้หันเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยเฉพาะไทยแลนด์ 4.0 โดยเร่งใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์กับภาคการผลิตและภาคบริการซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจแบบเดิมๆได้อีกต่อไป
ในอดีตถึงแม้ว่าจะมีการลงทุนและร่วมทุนกับต่างประเทศมายาวนานมากกว่า 30 ปี แต่กลับไม่ได้ดูดซับเอานวัตกรรมจากการลงทุนของบริษัทข้ามชาติเพื่อให้ไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้บ้าง ในที่สุดขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่เราพยายามทำและเรียกร้องขอความร่วมมือกับประเทศอื่นให้เขามาลงทุนในประเทศไทย การเชื้อเชิญให้นักลงทุนใหม่เข้ามาอีกครั้ง ก็จะถูกตั้งเงื่อนไขเรื่องสิทธิประโยชน์ หรือขู่ว่าจะไปลงทุนในประเทศอื่นๆที่ให้สิทธิประโยชน์ที่ดีและมีแรงงานจำนวนมหาศาลรออยู่ เช่น เวียดนาม และอินโดนิเซีย หรือ แม้แต่ฟิลิปปินส์ก็ตาม เราจึงเห็น FDI ใหม่ๆ เข้ามาไม่ใช่เรื่องง่ายจึงขยายตัวอย่างเชื่องช้า 3 ปีกว่า ของรัฐบาล เม็ดเงินจาก FDI ยังเข้ามาน้อยมากแต่ก็ยังมีหวังเมื่อประเทศไทยเราพยายามจะเร่งพัฒนาการค้าชายแดนด้วยเขตเศรษฐกิจพิเศษและที่สำคัญที่สุดคือ Eastern Economics Corridor (EEC) โดยคาดหวังว่าจะเป็น New Trend สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมต่อเนื่องทางด้านการค้าและบริการ เป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้วยแล้ว ถ้าเรายังทำแบบเดิมๆไม่พัฒนาบริษัทของคนไทยให้มีนวัตกรรมเป็นของตนเองบ้าง เราก็ยังจะทำความผิดพลาดแบบเดิมๆโดยให้สิทธิประโยชน์พิเศษกับบริษัทต่างชาติโดยไม่มีเงื่อนไขด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี ในที่สุดไทยก็ต้องเผชิญกับปัญหาเหมือนเดิมๆ คือ ไม่สามารถพัฒนาประเทศให้มั่งคั่งและยั่งยืนได้
ทางออกสุดท้ายสำหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ คือ ต้องใช้เครื่องมือด้านการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่ก็น่าเสียดายว่า งบประมาณส่วนใหญ่ใช้ไปกับ เงินเดือน และค่าตอบแทน การใช้คืนเงินกู้รวมทั้งเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ในส่วนของสวัสดิการต่างๆก็เพิ่มขึ้นทุกปีๆทำให้งบลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศโดยรัฐมีขอบเขตจำกัดมากๆ ถึงแม้ว่ารัฐไทยจะกู้มาเพิ่มเติมเพื่อใช้จ่ายในการลงทุนแต่ก็ทำได้จำกัดเนื่องจากต้องรักษาไว้ซึ่งวินัยด้านการคลัง นโยบายทางการคลังที่ถูกนำมาใช้ก็ถูกจำกัดโดยงบประมาณของรัฐที่มีจำกัด การอาศัยค่าใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดูอ่อนล้ามาก
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบทางด้านเศรษฐกิจทั้ง 4 ตัวแปร คือ การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนจากภาคเอกชน การลงทุนโดยภาครัฐและการตกต่ำของการส่งออกจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ (แข่งขันสู้เขาไม่ได้) การขยายตัวเศรษฐกิจ(GDP)โดยรวมในปี 2561 ก็อาจจะยังไม่สามารถเติบโตในระดับที่สูงคงจะป้วนเปี้ยนอยู่ในระดับ 4% แต่น่าจะดีกว่าปี 2560 ซึ่งทุกท่านก็ได้ทราบจากผลการศึกษาของหลายหน่วยงานรวมทั้ง TDRI ซึ่งให้ตัวเลขการคาดประมาณการเติบโตจะอยู่ระหว่าง 3.5-4.5 %
การที่เศรษฐกิจอาจจะไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วอย่างที่รัฐบาลที่มาจากร่มเงาของ คสช.คาดหวังไว้ แต่การที่เศรษฐกิจที่คาดหวังเอาใว้ว่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานคนไทยในภาพรวมให้ฟื้นตัวได้เช่นกันแต่ก็ขึ้นกับฝีมือของประชารัฐจะช่วยกันปรับปัญหาความไม่สอดคล้องระหว่างอุปทานกับอุปสงค์ของแรงงานและคนทำงานให้สอดคล้องกับทิศทางใหม่นการพัฒนาประเทศโดยไม่ทิ้งใครใว้เบื้องหลังได้อย่างไร การที่จะทำเช่นนี้ได้รัฐบาลไม่มีทางเลือกมากนักที่จะต้องหันมาให้ความสนใจกับการผลิตและพัฒนากำลังของประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งผู้เขียนจะได้เขียนในตอนต่อไป
ภาพที่ 1 แสดงถึงแนวโน้มของผู้มีงานทำในช่วงปี พ.ศ. 2556-2560 (แนวโน้มถดถอย)
แผนภาพที่ 2 แสดงถึงแนวโน้มของการว่างงานปี พ.ศ. 2556-2560 (แนวโน้มสูงขึ้น)