ศาลฎีกาฯฟัน 2 นักการเมือง จ.สตูล-สุราษฎร์ฯ ซุกเงินฝาก 7 บัญชึ-ไม่ยื่นทรัพย์สิน
ศาลฎีกาฯ พิพากษาให้พ้นตำแหน่งทันที ส.อบจ.สตูล ซุกเงินฝาก 7 บัญชี รองนายกเทศมนตรี จ.สุราษฎร์ธานี จงใจไม่ยื่นทรัพย์สิน 2 ครั้ง ปรับ 8,000 บาท จำคุก 2 เดือน ให้รอการลงโทษ
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 17 ก.ค.2560 เผยแพร่ คำพิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดี นายอนุสรณ์ มรรคาเขต สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) สตูล จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน พร้อมเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และ นายสุนทร เฝือไชยศรี รองนายกเทศมนตรี ต.ขุนทะเล อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ต่อ ป.ป.ช. ผู้ร้อง ศาลฯพิพากษาให้มีความผิดทั้งสองคน ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือน ปรับคนละ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงทามีกำหนดคนละ 1 ปี มีรายละเอียดดังนี้
1.คดีนายอนุสรณ์ มรรคาเขต
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน พร้อมเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล (ครั้งที่ 1 ) ให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล (ครั้งที่ 2) ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน และห้ามมิให้ผู้คัดค้าน ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล (ครั้งที่ 1) ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 กับลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ผู้คัดค้านให้การรับสารภาพ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิเคราะห์คำร้อง เอกสารประกอบคำร้อง และคำให้การของผู้คัดค้านแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล (ครั้งที่ 1) ปฏิญาณตน เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 1551 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2555 เนื่องจากถึงคราวออกตามวาระ ผู้คัดค้านยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่งแล้ว แต่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำแหน่งโดยไม่แสดงรายการทรัพย์สินของตน จำนวน 7 รายการ คือ เงินฝากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาสตูล เงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสตูล เงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสตูล เงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสตูล เงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาควนกาหลง จำนวน 2 บัญชี และรถจักรยานยนต์ ทะเบียน กนล 0960 สตูล
และเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2557 ผู้คัดค้าน ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว เป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล (ครั้งที่ 1) เกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด และไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน จำนวน 6 รายการ คือ เงินฝากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาสตูล เงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสตูล เงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสตูล รถจักรยานยนต์ ทะเบียน กนล 0960 สตูล และเงินกู้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาสตูล จำนวน 2 บัญชี ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งเตือนให้ผู้คัดค้านชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่ไม่แสดงรายการหนี้สินทั้งสองกรณีดังกล่าว ผู้คัดค้านมีหนังสือชี้แจงแล้ว ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดสตูล (ครั้งที่ 2) ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2555 และดำรงตำแหน่งจนถึงปัจจุบัน
พิพากษาว่า นายอนุสรณ์ มรรคาเขต ผู้คัดค้าน จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล (ครั้งที่ 1) ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ให้ผู้คัดค้านพ้นจาก ตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล (ครั้งที่ 2) นับแต่วันที่ 9 พ.ค.2560 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย และห้ามมิให้ผู้คัดค้าน ดำ รงตำ แหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำ แหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปี นับแต่วันที่ 20 เม.ย.2555 อันเป็นวันที่ผู้คัดค้านพ้นจากตำ แหน่งที่เป็นเหตุแห่งการยื่นคำ ร้อง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสอง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 การกระทำของผู้คัดค้านเป็นความผิดหลายกรรม ต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุก กระทงละ 2 เดือน และปรับกระทงละ 8,000 บาท รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 4 เดือน และปรับ 16,000 บาท ผู้คั ดค้านให้การรั บสารภาพ เป็นประโยชน์ แก่ การพิจารณา มี เหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (คดีหมายเลขแดงที่ อม.88/2560-9 พ.ค.2560) (http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/076/3.PDF)
2.คดีนายสุนทร เฝือไชยศรี
ศาลฎีกาฯพิพากษาว่า นายสุนทร เฝือไชยศรี รองนายกเทศมนตรี ต.ขุนทะเล อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรี ต.ขุนทะเล อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี ครั้งที่ 1 และกรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลขุนทะเล ครั้งที่ 2 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลขุนทะเล ครั้งที่ 2 นับแต่วันที่ 18 พ.ค.2560 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย และห้ามมิให้ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใด ในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลขุนทะเล ครั้งที่ 1และกรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลขุนทะเล ครั้งที่ 2 การกระทำของผู้คัดค้านเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 เดือน และปรับกระทงละ 8,000 บาท รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 4 เดือน และปรับ 16,000 บาท
ผู้คัดค้านให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (คดีหมายเลขแดงที่ อม.93/2560-18 พ.ค.2560 ) (http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/076/8.PDF)