- Home
- Isranews
- ไทยพีบีเอสแจงตัดต่อรายการเถียงให้รู้เรื่อง - มนูญ ศิริวรรณ สอนสื่ออย่าทำตัวเป็นผู้พิพากษา
ไทยพีบีเอสแจงตัดต่อรายการเถียงให้รู้เรื่อง - มนูญ ศิริวรรณ สอนสื่ออย่าทำตัวเป็นผู้พิพากษา
ไทยพีบีเอส ชี้แจงกระบวนการผลิตรายการเถียงให้รู้เรื่อง ตอน "สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ?" ระบุ ตัดต่อรายการใหม่ให้เหลือเพียงผู้นำเสนอหลัก 2 คน คือ รสนา-มนูญ เพื่อความสมดุลของข้อมูล ยืนยันไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก
วันที่ 8 มิ.ย.2559 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ได้ออกเอกสารชี้แจงกระบวนการผลิตรายการเถียงให้รู้เรื่องซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2559 โดยมีรายละเอียดดังนี้
สืบเนื่องจากรายการเถียงให้รู้เรื่องตอน "สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ?" ออกอากาศวันที่ 7 มิถุนายน 2559 มีรูปแบบรายการที่แตกต่างจากตอนอื่นๆ คือ มีการนำเสนอข้อมูลและความเห็นเฉพาะผู้นำเสนอหลัก 2 คน คือคุณมนูญ ศิริวรรณ และคุณรสนา โตสิตระกูล แต่ไม่มีนักวิชาการทำหน้าที่ commentator ซึ่งเป็นรูปแบบรายการที่กำหนดไว้
ฝ่ายบริหาร องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) มีประเด็นชี้แจงดังนี้
1. รายการเถียงให้รู้เรื่องตอนดังกล่าว มีการบันทึกรายการในคืนวันที่ 6 มิถุนายน 2559 โดยมีผู้นำเสนอข้อมูลและความเห็น 2 คน คือคุณมนูญ ศิริวรรณ และคุณรสนา โตสิตระกูล โดยมีนักวิชาการร่วมรายการในฐานะ commentator 2 คน คือ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านแรงงานและ ผศ.ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และดำเนินรายการโดยคุณอภิรักษ์ หาญพิชิตวาณิช
เมื่อบันทึกรายการเสร็จ คุณรสนาได้ทักท้วงผู้ดำเนินรายการว่า รูปแบบรายการไม่สมดุล คือ commentator ทั้งสองคนมีความคิดในกลุ่มความเห็นเดียวกัน จึงเกิดความไม่เป็นธรรมที่มีผู้อภิปรายไปในกลุ่มความเห็นเดียวกันถึง 3 คน ในขณะที่มีเพียงตนคนเดียวในการให้ความเห็นอีกด้านหนึ่ง ซึ่งขัดกับหลักการที่สำคัญของ ส.ส.ท. ที่จะต้องดำรงความเป็นกลางในการนำเสนอความเห็นทั้ง 2 ฝั่งอย่างสมดุล
ต่อมาเมื่อผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้พิจารณาเทปบันทึกรายการเถียงให้รู้เรื่องตอนนี้แล้ว เห็นว่ากระบวนการผลิตรายการในการเชิญนักวิชาการอาจไม่มีความหลากหลายและแตกต่างทางความคิด ตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้รายการให้ความแตกต่างหลากหลายทางความคิดและมีความเป็นกลางอย่างแท้จริง จึงตัดสินใจที่จะปรับปรุงการผลิตรายการตอน "สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ?" โดยเสนอทางเลือก 2 ทาง คือ บันทึกรายการตอนนี้อีกครั้ง โดยคงผู้นำเสนอข้อมูลและความเห็นหลัก คือ คุณมนูญ ศิริวรรณ และคุณรสนา โตสิตระกูล ส่วน commentator ให้มี ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ และนายธีรชัย ภูวนารถนรานุบาล เพื่อให้มีองค์ประกอบของผู้ให้ความเห็นที่แตกต่าง หลากหลายและเกิดความสมดุล แต่ทางเลือกนี้คุณมนูญ ไม่เห็นด้วย
ผู้บริหาร ส.ส.ท.และผู้รับผิดชอบรายการ จึงตัดสินใจเลือกแนวทางที่ 2 คือ ตัดเทปรายการใหม่ โดยตัดความเห็นของนักวิชาการหรือ commentator ออก และคงไว้เฉพาะการถกเถียงระหว่างคุณมนูญและคุณรสนาไว้ทุกคำถามโดยไม่มีการตัดทอน และการตัดสินใจดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานการสร้างสมดุลของข้อมูล โดยที่มิได้มีการแทรกแซงจากภายนอกแต่อย่างใด
2. ด้วยความเคารพและให้เกียรติผู้ร่วมรายการทุกคน โปรดิวเซอร์รายการได้โทรศัพท์แจ้งให้ผู้ร่วมรายการทุกคนทราบในค่ำวันที่ 7 มิถุนายน 2559 ก่อนรายการออกอากาศ พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลว่าต้องการให้รายการให้ความสมดุลในการนำเสนอข้อมูลและความเห็น
3. ส.ส.ท.พร้อมเปิดพื้นที่จัดรายการโทรทัศน์เป็นวาระพิเศษเพื่อให้ฝ่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ได้นำเสนอข้อมูลและความเห็นในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ บนหลักการการมีตัวแทนจากฝ่ายต่างๆ อย่างสมดุล เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ โพสต์ข้อความระบุ หลังอ่านคำแถลงของไทยพีบีเอสแล้วก็เข้าใจในความจำเป็นที่ต้องตัดเทปในส่วนของนักวิชาการทั้งสองท่านออกไป
"แต่ผมว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าสื่อจะตั้งตัวเป็นผู้ตัดสิน หรือให้ผู้ชมเป็นคนตัดสิน การดีเบตเป็นเรื่องของการใช้เหตุผลมาหักล้างกัน ไม่ใช่ใช้เสียงข้างมากมาตัดสิน ดังนั้นผู้ชมจะฟังว่าเหตุผลของใครถูกต้องน่าเชื่อถือมากกว่ากัน
ถ้าคุณรสนามีเหตุผลที่ดีกว่า ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีถึงสามคนก็ไม่มีความหมาย ยิ่งถ้าฝ่ายที่มีมากกว่าไม่มีเหตุผลที่ดีกว่า แล้วพยายามจะรุมคุณรสนาอย่างที่คุณรสนาคิด คุณรสนาก็จะยิ่งได้รับความเห็นใจจากผู้ชม มากกว่าที่จะพยายามไปปิดกั้นประชาชนไม่ให้ได้รับฟังความเห็นจากนักวิชาการทั้งสองท่าน ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่รู้เรื่องนี้อาจคิดไปได้ว่า นักวิชาการทั้งสองท่านนั้นได้พูดอะไรที่ทางคุณรสนาไม่อยากให้ผู้ชมทางบ้านได้รับรู้หรือเปล่า
ดังนั้น บทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ สื่ออย่าทำตัวเป็นผู้พิพากษา"
ด้านนางสาวรสนา ก็ได้โพสต์เฟชบุค ถึงการมาออกรายการเถียงให้รู้เรื่อง เมื่อคืนวันที่ 7 มิถุนายน 2559 ด้วยว่า ไม่ได้รับการบอกล่วงหน้าว่า ไปเถียงกันในฐานะตัวแทนเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย(คปพ.) และไม่ได้รับแจ้งว่า มีใครเป็นผู้วิจารณ์ หากเป็นการเถียงในฐานะตัวแทนกลุ่ม เมื่อกลุ่ม ERS มีคุณมนูญเป็นตัวแทน และมีดร.พรายพล ซึ่งอยู่ในกลุ่มแกนของERS เป็นผู้ให้ความเห็นเสริมคุณมนูญ ฝ่ายคปพ.ก็ควรมีทั้งผู้พูดและผู้วิจารณ์ที่มาจากคปพ.เช่นเดียวกัน แต่ในการเชิญคนมาร่วมรายการของไทยพีบีเอส ที่เชิญคนวิจารณ์ที่มีแนวความคิดในสายเดียวกับฝ่าย ERS ทำให้การเถียงกันคราวนี้ไม่เป็นธรรมต่อฝ่ายคปพ. อีกทั้งตัวแทนฝ่ายERS มีโอกาสพูดเสนอแนวคิดได้มากกว่า
"ดิฉันได้กล่าวกับพิธีกรหลังเสร็จการอัดเทปว่าจัดแบบนี้ไม่เป็นธรรม เป็นแบบ3รุม1 หากจะให้สองฝ่ายที่มีแนวคิดต่างกันมานำเสนอ ควรจะมีจำนวนคนที่เท่ากัน และมีเวลาที่เท่ากันด้วย ยิ่งกว่านั้นไม่ควรเป็นในลักษณะการโต้วาที แต่ควรนำข้อมูล2ฝ่ายมาเปรียบเทียบในประเด็นเดียวกันเพื่อเสนอต่อสาธารณชนตามวัตถุประสงค์สื่อสาธารณะ และวัตถุประสงค์ของรายการที่ต้องการสื่อความจริง2ด้านเพื่อให้ผู้ชมได้ตัดสินใจเลือก จึงไม่ควรเปิดโอกาสการเตรียมข้อมูลให้ฝ่ายหนึ่งโดยไม่บอกอีกฝ่ายหนึ่ง พิธีกรรู้ล่วงหน้าว่าฝ่ายคุณมนูญมีเอกสารมานำเสนอ แต่พิธีกรเพิ่งมาถามดิฉันตอนจะเข้าสู่รายการว่ามีเอกสารประกอบไหม ดิฉันจึงหาภาพมาแสดงตามที่หาได้ในเวลานั้น
วันรุ่งขึ้น ดิฉันโทรหาเจ้าหน้าที่ที่เชิญดิฉันและร้องเรียนว่ารายการนี้จัดแบบเอียงข้างเกินไป และขอให้แก้ไขโดยอัดรายการใหม่และให้มีผู้วิจารณ์ที่เป็นฝ่ายคปพ. มิเช่นนั้นดิฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้ออกอากาศเทปรายการนี้
ทางเจ้าหน้าที่จึงนำเรื่องไปหารือกับหัวหน้ารายการกรณีที่ดิฉันร้องเรียน ทางสถานียินยอมจะอัดเทปรายการใหม่โดยดิฉันเสนอคุณธีรชัย ภูวนาถนรานุบาลมาเป็นผู้วิจารณ์ของฝ่ายคปพ.แต่ภายหลังทราบจากทางสถานีว่าคุณมนูญไม่ยอมมาอัดเทปใหม่
รองผู้อำนวยการของไทยพีบีเอสหลังจากได้ดูเทปรายการนี้แล้ว มีความเห็นว่าสัดส่วนของผู้ร่วมรายการขัดกับหลักความเป็นกลางตามที่ดิฉันทักท้วง เพราะนักวิชาการที่มาร่วมรายการสังกัดอยู่ในกลุ่มERSอย่างชัดเจน ท่านจึงเสนอวิธีแก้ไขว่าจะตัดผู้วิจารณ์ออกไป
แม้ดิฉันจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้เพราะเห็นว่าควรอัดเทปรายการใหม่โดยมีน้ำหนักของตัวแทนสองฝ่ายเท่ากัน แต่ก็ไม่ประสงค์จะแทรกแซงสื่อ ซึ่งย่อมมีสำนึกตามจรรยาบรรณวิชาชีพของสื่ออยู่แล้วว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร"...