ท้องถิ่น-คู่สมรส 4 หมื่น เคลียร์ผลประโยชน์ทับซ้อน ก่อนม.100 บังคับใช้
กรรมการ ป.ป.ช. แจงขยายผลบังคับใช้ มาตรา 100 ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. 13 ก.ย. ครอบคลุม นายก อบจ.-อบต.-เมืองพัทยา ผู้ว่าฯกทม. และคู่สมรส 46,000 คน ด้านอ.นิติศาสตร์ มธ. แนะสังคมปลูกฝังเด็กไทย แยกผลประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวม
วันที่ 23 กรกฎาคม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดสัมมนา เรื่อง “แนวทางปฏิบัติตามมาตรา 100 และมาตรา 103 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม” เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการอันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมแก่ผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงการห้ามรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยมีนายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. และ ศ.ดร.กำชัย จงจักรพันธ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมสัมมนา ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯ
สถิติทุจริตกว่า 40% มาจากท้องถิ่น
นายวิชัย กล่าวถึงมาตรา 100 ตามกฎหมายห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐตามตำแหน่งที่ ป.ป.ช.กำหนด ไปมีส่วนได้เสีย 4 กรณี ซึ่งแต่เดิมกำหนดไว้ 2 ตำแหน่งคือ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี และหลังจากมีการบังคับใช้มาตลอด 10 ปี มีเพียง คดีเดียวที่มีการวินิจฉัย คือ คดีที่ดินรัชดา ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นกรณีของผลประโยชน์ทับซ้อน และปัจจุบัน นี้ทาง ป.ป.ช. ได้มีการขยายขอบเขตของกฎหมายไปอีก 2 ตำแหน่ง คือ ผู้บริหารและรองผู้บริหารท้องถิ่น โดยมีการ ประกาศไปแล้วเมื่อต้นปี 2555 ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 13 กันยายนเป็นต้นไป
กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวด้วยว่า ผู้บริหารและรองผู้บริหารท้องถิ่น ได้แก่ ตำแหน่ง นายกและรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกและรองนายก องค์การบริหารส่วนตำบล นายกและรองนายกเทศมนตรี ผู้ว่าราชการและรองผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร รวมถึง นายกและรองนายกเมืองพัทยาด้วย ซึ่ง หลังจากมีการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีผลให้มีผู้ที่อยู่ในบังคับเพิ่มอีก 23,000 คน และทั้งนี้รวมถึงคู่สมรสด้วยมีจะผู้ถูกบังคับใช้ 46,000 คน
“ผู้บริหารต้องตัดขาดผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม เพราะหากดูตามสามัญสำนึกนั้นอาจไม่มีความผิด แต่โดยกฎหมายแล้วเป็นความผิด ทั้งนี้ การขยายผลบังคับใช้กฎหมายนี้นั้น เนื่องมาจากสถิติของการทุจริตที่ผ่านมา กว่า 40% มาจากการส่วนท้องถิ่น ซึ่งโดยส่วนมากเป็นกรณีของการสัมปทาน ฉะนั้นแล้วจะกระทำกิจกรรมอะไรต้องดูตามมาตรา 100 (1)-(4)”
สำหรับมาตรา 103 นั้น กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า มีมาตั้งแต่ปี 2542 แต่ไม่มีการบังคับใช้ ซึ่งหลักการคือ ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะรับสินโดยเสน่หาไม่ได้ แต่จะรับได้โดยธรรมจรรยา ตามระเบียบที่ ป.ป.ช. กำหนด คือถ้าเป็นญาติต้องสมควรแก่ ฐานานุรูป และหากไม่ใช่ญาติโอกาสหนึ่งต้องไม่เกิน 3,000 บาท หากเกินกว่านั้นต้องขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องมีเจตนาในการทุจริต
“การทุจริตหรือการรับทรัพย์สิน บางทีก็ทำแบบโจ่งแจ้ง แต่บางทีก็ทำแบบไม่รู้สึกผิด บางนโยบายก็เหมือนเป็นการที่รัฐบาลเปิดการทุจริตเสรี ซึ่งจะโทษรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ก็คงลำบาก ฉะนั้นจำเลยของนักวิชาการ คือ วัฒนธรรมของไทยที่เป็นมานาน ในเรื่องของสินน้ำใจ ซึ่งต่างจากต่างประเทศมองเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากในด้านการทุจริต”
หวังใช้มาตรา 100 เป็นเครื่องมือป้องทุจริต
ด้าน ศ.ดร.กำชัย กล่าวถึงมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ว่าเป็นกฎหมายที่มีเจตนารมณ์ในการป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของส่วนตนและส่วนรวม ซึ่งหมายถึง สถานการณ์ สภาวการณ์ ที่คนมีอำนาจหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติการเพื่อส่วนรวม แต่มีผลประโยชน์ส่วนตนร่วมอยู่ด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีอำนาจไม่สามารถใช้อำนาจได้อย่างเป็นกลางและเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมได้
“เชื่อว่าถ้ามีเรื่องต้องตัดสินใจแต่ต้องมีเรื่องประโยชน์ส่วนตนทีต้องขัดกับประโยชน์ส่วนรวม คนผู้นั้นจะต้องรักษาของตนมากว่าส่วนรวม และไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นกลางได้ โดยการขัดกันแห่งผลประโยชน์เป็นญาติสนิทใกล้ชิดกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ดังนั้น จำเป็นต้องจัดการกับปัญหาการขัดกันแห่งผลประโยชน์ให้ได้ด้วย ทั้งนี้ มาตรา 100 แม้เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการใช้ป้องกันปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น แต่เป็นกฎหมายที่กำหนดโทษทางอาญา จึงต้องมีการตีความโดยเคร่งครัด และผู้ใช้กฎหมาย หรือองค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้อง ควรมีการตีความที่ถูกต้องตรงกันด้วย” ศ.ดร.กำชัย กล่าวและว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้สอนในการแยกประโยชน์ ส่วนตนและส่วนรวมแยกออกจากกัน ฉะนั้นจึงต้องปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเข้าใจและตระหนักถึงปัญหาเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์
ศ.ดร.กำชัย กล่าวด้วยว่า ฐานความผิดตามมาตรานี้ ผู้กระทำความผิดไม่จำเป็นต้องมีเจตนา หรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการเบียดเบียนหรือคุกคามประโยชน์ของส่วนรวม หรือลงมือกระทำการอันเป็นทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ถ้าครบองค์ประกอบก็ให้ถือเป็นความผิดแล้วโดยเป็นความผิดฐานหนึ่งต่างหากจากการทุจริต เช่นเดียวกับการทุจริตการสอบ ที่แม้จะไม่มีการลอกข้อสอบ แต่นำโพยเข้าไปก็ถือว่ามีความผิด โดยมีบทลงโทษทางอาญา จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ มาตรา 100 มีข้อกำหนด ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินกิจการ 4 กรณี ได้แก่
1.ห้ามเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่ตนมีอำนาจหน้าที่อยู่
2.ห้ามเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่ตนมีอำนาจหน้าที่อยู่
3.ห้ามรับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยงานการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดขั้นตอน
4.ห้ามเข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้างในธุรกิจของเอกชนซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่ตนสังกัดอยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ