หนักกว่า“ชินณิชา”ศาลฎีกาฯเชือด“สมศักดิ์”ซุกบ้าน-เงินฝาก 30 ล้าน จำคุก 6 เดือน
หนักกว่า“ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์” ศาลฎีกาฯเชือด “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” ซุกบ้าน-เงินฝาก 30 ล้าน ห้ามเล่นการเมือง 5 ปี ลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 1 หมื่น รอลงอาญา 3 ปี
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเวลา วันที่ 4 พฤษภาคม 2555 เวลา 14 .00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาด้วยมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เห็นว่านายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทย จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีไม่แจ้งรายการเงินฝากและบ้านอาศัย และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และให้มีความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 จำคุก 6 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตัดสินของศาลฎีกาฯคดีนี้เป็นการตัดสินตามอัตราโทษที่หนักที่สุดของความผิดในข้อหานี้ ไม่เคยมีนักการเมืองคนใดโดนตัดสินสูงสุดมาก่อนหน้านี้
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า นายสมศักดิ์ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2554 ว่าจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบโดยไม่แสดงรายการทรัพย์สิน ประกอบด้วย บ้านพักอาศัยที่ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ราคาประมาณ 30 ล้านบาท รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ BENZ จำนวน 2 คัน มูลค่ารวม 12 ล้านบาท และร้าน Am-Pm ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารเลขที่ 204 หมู่ที่ 7 ตำบลศาลเจ้าโรงทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง โดยใช้ชื่อบุคคลอื่นเป็นเจ้าของแทน
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงในกรณีกล่าวหาว่า ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการ และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการไต่สวนชุดเดียวกันนี้ ดำเนินการตรวจสอบ ความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินของ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ได้ยื่นแสดงไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินในตำแหน่งต่าง ๆ ทุกกรณีด้วย ผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินปรากฏข้อเท็จจริง ดังนี้
จากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และคู่สมรสที่ได้ยื่นแสดงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 จำนวน 21 ครั้ง ประกอบด้วย
รวม 8 ตำแหน่ง 21 บัญชี พบว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ได้ยื่นบัญชีฯ ในกรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ครั้งที่ 2) เกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 30 วัน
ส่วนกรณีอื่นเป็นการยื่นบัญชีฯ ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
จากตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นแสดงดังกล่าว พบว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล มิได้แสดงรายการทรัพย์สิน ดังนี้
- (1.) ไม่แสดงเงินฝากของตนและหรือของคู่สมรสที่ฝากไว้ในบัญชีเงินฝากต่าง ๆ
จากการตรวจสอบรายการทรัพย์สินเบื้องต้น พบว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล คู่สมรส มีบัญชีเงินฝากเพิ่มเติม จำนวน 2 บัญชี ได้แก่ บัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) สาขาวิเศษชัยชาญ ชื่อบัญชี นางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล และหรือนายเกรียงศักดิ์ ฉัตรบริรักษ์ (พี่ชายของนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล) เลขที่บัญชี 141-3-05581-0 เป็นเงินจำนวน 2,390,082.15 บาท และบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) สาขาวิเศษชัยชาญ ชื่อบัญชี นางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล และหรือนายเกรียงศักดิ์ ฉัตรบริรักษ์ เลขที่บัญชี 141-3-05582-9 เป็นเงินจำนวน 6,432,227.85 บาท
โดยบัญชีเงินฝากทั้งสอง ดังกล่าวมีต้นเงินมาจากเงิน จำนวน 3 ยอด ได้แก่ 1. เงินสดที่ไม่ทราบที่มาจำนวน 15,000,000 บาท 2. เงินในบัญชีเงินฝากของ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ได้แก่บัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาวิเศษชัยชาญ เลขที่บัญชี 141-3-04376-6 จำนวน 10,011,783.56 บาท และ 3. เงินในบัญชีเงินฝากของนายสวัสดิ์ เลิศเจริญศิลป์ พี่เขยของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล จำนวน 4,099,813.70 บาท ต่อมาได้มีการนำเงินทั้ง 3 ยอดดังกล่าวฝากเข้าบัญชีเงินฝากในชื่อ หจก. โรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ ที่มีนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล มีอำนาจเบิกถอน จำนวน 3 บัญชี ได้แก่ บัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาวิเศษชัยชาญ ชื่อบัญชี หจก. โรงสีวิเศษ-ชัยชาญเจริญกิจ โดยนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล และหรือ นายเกรียงศักดิ์ ฉัตรบริรักษ์ และหรือนายไพโรจน์ ฉัตรบริรักษ์ (พี่ชายของนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล) บัญชีเลขที่ 141-3-04479-7 บัญชีเลขที่ 141-3-04480-0 และบัญชีเลขที่ 141-3-04498-3 โดยทำรายการฝากในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2540 หจก. โรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวของนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล ได้ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาวิเศษชัยชาญ เป็นเงินจำนวน 31,137,000 บาท โดยนำเงินในบัญชีเงินฝากประจำ 3 บัญชีดังกล่าวข้างต้น ที่มีเงินฝากรวมกันเป็นเงิน จำนวน 31,678,437.69 บาท จำนำเป็นประกันและชำระหนี้
ด้วยการหักเงินจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวภายในระยะเวลา 1 เดือนหลังจากทำสัญญากู้เงิน เมื่อ หจก.โรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ ได้รับเงินกู้จำนวน 31,137,000 บาท จากธนาคารแล้ว ได้มีการกระจายเงินเข้าบัญชีเงินฝากในชื่อ หจก. โรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ ซึ่งมีนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล เป็นผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินหลายบัญชี และฝากเข้าบัญชีเงินฝากที่มีชื่อนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล เป็นเจ้าของบัญชี โดย นางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล ได้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากที่ใช้ชื่อบัญชี หจก. โรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ และบัญชีเงินฝากที่มีชื่อนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล ไปใช้เป็นการส่วนตัวจำนวนมาก
จากข้อเท็จจริงข้างต้น จึงฟังได้ว่า เงินทั้ง 3 ยอดดังกล่าว ประกอบด้วย 1. เงินสดจำนวน 15,000,000 บาท 2. เงินในบัญชีเงินฝากของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล จำนวน 10,011,783.56 บาท และ 3. เงินในบัญชีเงินฝากของนายสวัสดิ์ เลิศเจริญศิลป์ พี่เขยของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล จำนวน 4,099,813.70 บาท เป็นเงินของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ได้มา
ในปลายปี พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาได้นำ หจก.โรงสีวิเศษ-ชัยชาญเจริญกิจ ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาวิเศษชัยชาญ โดยนำเงินของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ได้มาทั้งหมดชำระเงินกู้ยืมจากธนาคาร ส่วนเงินกู้ที่ได้จากธนาคารซึ่งมีที่มาจากเงิน 3 ยอดดังกล่าว ได้กระจายฝากเข้าในบัญชีเงินฝากที่ใช้ชื่อ หจก. โรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ เป็นเจ้าของบัญชี โดยมีนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล เป็นผู้มีอำนาจในการเบิกถอนเงิน โดยมีบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาอ่างทอง เลขที่บัญชี 293-2-02-789-6 รวมอยู่ด้วย ซึ่งนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล ได้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวไปซื้อหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ ประมาณ 13 ล้านบาทเศษ และนำเงินไปซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นบุริมสิทธิหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 10,000,000 บาท ในชื่อของนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล
โดยบัญชีเงินฝากต่าง ๆ ดังกล่าว ปรากฏว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ไม่ได้ยื่นแสดงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในแต่ละตำแหน่งและกรณีต่าง ๆ ดังนี้
1. ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
1.1 กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2540
1.2 กรณีพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2542
1.3 กรณีพ้นจากตำแหน่งแล้ว 1 ปี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2543
2. ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ครั้งที่ 1)
2.1 กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543
2.2 กรณีพ้นจากตำแหน่งแล้ว 1 ปี เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2544
3. ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
3.1 กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2542
3.2 กรณีพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2544
3.3 กรณีพ้นจากตำแหน่งแล้ว 1 ปี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2545
4. ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ครั้งที่ 2)
กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2544
- (2) ไม่แสดงรายการทรัพย์สิน บ้านเลขที่ 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอ วิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง
จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2539 นายสุรเชษ นิ่มกุล ขณะดำรงตำแหน่งกำนันตำบลม่วงเตี้ย อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 14360 และ 14361 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง รวม 2 โฉนด ในราคา 6,000,000 บาท โดยนายสุรเชษ นิ่มกุล ได้ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาสุพรรณบุรี จำนวนเงิน 6,000,000 บาท และนำที่ดิน 2 แปลงดังกล่าวจำนองกับธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อนำเงินกู้มาชำระให้แก่เจ้าของที่ดินเดิม แต่เนื่องจากวงเงินกู้เกินอำนาจของผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาสุพรรณบุรี จึงได้ส่งเรื่องไปยังธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ ให้พิจารณาวงเงินกู้แทน ต่อมาธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ ได้อนุมัติให้นายสุรเชษ นิ่มกุล กู้ยืมในวงเงิน 6,000,000 บาท โดยนายสุรเชษ นิ่มกุล ต้องผ่อนชำระเงินกู้กับธนาคารเดือนละ 140,400 บาท เป็นเวลา 5 ปี
ต่อมาในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2540 นายไพโรจน์ ฉัตรบริรักษ์ พี่ชายของนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 14360 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เนื้อที่ 3 ไร่ 24.1 ตารางวา จากนายสุรเชษ นิ่มกุล ในราคา 3,500,000 บาท โดยนายไพโรจน์ ฉัตรบริรักษ์ ได้วางมัดจำให้นายสุรเชษ นิ่มกุล จำนวน 300,000 บาท ส่วนเงินที่เหลือจำนวน 3,200,000 บาท จะชำระเงินในวันโอนกรรมสิทธิ์ เนื่องจากขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวยังติดจำนองอยู่ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รวมกับที่ดินโฉนดเลขที่ 14361 จึงยังไม่มีการไถ่ถอนจำนอง โดยนายสุรเชษ นิ่มกุล เป็นผู้ผ่อนชำระกับธนาคารต่อจนครบกำหนดตามสัญญา หลังจาก นายสุรเชษ นิ่มกุล ชำระหนี้เงินกู้เสร็จแล้ว ในวันที่ 26 กันยายน 2544 นายสุรเชษ นิ่มกุล ได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายไพโรจน์ ฉัตรบริรักษ์ ซึ่งนายไพโรจน์ ฉัตรบริรักษ์ ได้ชำระเงินค่าซื้อที่ดินเป็นเงินสดให้แก่ นายสุรเชษ นิ่มกุล จำนวน 200,000 บาท และนายเกรียงศักดิ์ ฉัตรบริรักษ์ พี่ชายของนายไพโรจน์ ฉัตรบริรักษ์ ได้ชำระเงินค่าซื้อที่ดินในส่วนที่เหลือโดยสั่งจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คจำนวน 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท และในระหว่างที่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินก็ได้มีการปลูกสร้างบ้านในที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเมื่อปลูกสร้างบ้านหลังดังกล่าวเสร็จแล้ว ได้มีการยื่นขอเลขที่บ้านต่อเทศบาลตำบลศาลเจ้าโรงทอง และต่อมาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 เทศบาลตำบลศาลเจ้าโรงทอง ได้กำหนดเป็นบ้านเลขที่ 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง
จากการตรวจสอบฟังได้ว่า บ้านเลขที่ 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ดังกล่าวนั้น เป็นของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ดังนี้
1. การปลูกสร้างบ้านหลังดังกล่าวเกิดจากการดำเนินการของผู้ใกล้ชิดของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนทางการเมืองให้แก่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล คนหนึ่ง และเป็นผู้ที่ขายที่ดินให้กับนายสุรเชษ นิ่มกุล ซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ให้การสนับสนุนทางการเมือง หลังจากนายสุรเชษ นิ่มกุล ซื้อที่ดินแล้ว ได้ขายที่ดินให้กับนายไพโรจน์ ฉัตรบริรักษ์ พี่ชายของนางรวีวรรณ ปริศนานันทกุล คู่สมรสของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล โดยนายสุรเชษ นิ่มกุล เข้ามาช่วยในการถมดิน และผู้ขายที่ดินให้กับนายสุรเชษ นิ่มกุล เป็นผู้จัดส่งวัสดุในการก่อสร้างบ้าน
2. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เป็นผู้ติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ เพื่อช่วยเหลือนายสุรเชษ นิ่มกุล ให้ได้รับอนุมัติเงินกู้ยืมเพื่อมาซื้อที่ดินที่นำมาปลูกสร้างบ้านหลังนี้ และเป็นผู้จัดหาสถาปนิกและวิศวกร เพื่อออกแบบบ้านตามความต้องการของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อบ้านปลูกสร้างเสร็จครอบครัวของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เป็นผู้ใช้ประโยชน์ จากบ้านหลังดังกล่าวโดยตรง ซึ่งจากการตรวจสอบสภาพบ้าน ปรากฏว่าครอบครัวของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นประจำ โดยภายในบ้านได้มีการสร้างห้องแสดงผลงานของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล มีห้องรับรองประชาชนผู้มาติดต่อนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ซึ่งเป็นการออกแบบและก่อสร้างตามความต้องการของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล มิใช่เพื่อความต้องการของตระกูลฉัตรบริรักษ์ อีกทั้ง พี่น้องตระกูลฉัตรบริรักษ์ ต่างแยกครอบครัวและพักอาศัยที่บ้านของตนเอง ทั้งนี้ ปรากฏว่าบ้านหลังนี้ก่อสร้างเสร็จตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 แต่จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลาประมาณ 9 ปีเศษแล้ว ยังไม่มีการแจ้งชื่อผู้ใดเป็นเจ้าของบ้าน
3. จากการตรวจสอบไม่พบว่า ค่าใช้จ่ายในการปลูกสร้างบ้านส่วนใหญ่มาจากการนำเงินที่ได้จากการประกอบธุรกิจโรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ มาดำเนินการปลูกสร้างบ้านตามที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ชี้แจงไว้แต่อย่างใด เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการปลูกสร้างบ้านในบัญชีงบดุลของ หจก.โรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบปรากฏว่า นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2544 ซึ่งได้มีการออกเลขที่บ้าน 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง แล้ว นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ไม่ได้ยื่นแสดงรายการบ้านเลขที่ 5/5 ดังกล่าว ไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินฯ ในตำแหน่งและกรณีต่าง ๆ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กรณีพ้นจากตำแหน่งแล้ว 1 ปี
2. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ครั้งที่ 2) กรณีพ้นจากตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งแล้ว 1 ปี
3. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ครั้งที่ 3) กรณีเข้ารับตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่ง และพ้นจากตำแหน่งแล้ว 1 ปี
4. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ครั้งที่ 4) กรณีเข้ารับตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่ง
5. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ครั้งที่1) กรณีเข้ารับตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่ง
6. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ครั้งที่2) กรณีเข้ารับตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่ง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบของตนและคู่สมรสในตำแหน่งและกรณีต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 โดยไม่แสดงรายการทรัพย์สิน ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากต่าง ๆ และบ้านเลขที่ 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นการจงใจหลีกเลี่ยงการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินของตนและคู่สมรส คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ให้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 ให้ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล พ้นจากตำแหน่งและห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย และขอให้ลงโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
สำหรับรายการทรัพย์สินอื่นที่กล่าวหาว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล จงใจปกปิด ได้แก่ รถยนต์ยี่ห้อ BENZ จำนวน 2 คัน และร้าน Am-Pm ที่ตั้งอยู่ที่อาคารเลขที่ 204 หมู่ที่ 7 ตำบล ศาลเจ้าโรงทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ นั้น จากการตรวจสอบ พยานหลักฐานยังไม่พอฟังว่าเป็นทรัพย์สินของ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล หรือคู่สมรส หรือบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ใช้ชื่อบุคคลอื่นเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองแทนตามข้อกล่าวหา ส่วนในกรณีที่กล่าวหาว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ร่ำรวยผิดปกติ นั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหา