คุก3 ปี!'เบญจา-3อดีตขรก.' คดีเลี่ยงภาษีโอนหุ้นชินฯ-คนใกล้ชิดเลขาฯพจมาน โดนด้วย
ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี 'เบญจา หลุยเจริญ' อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร พร้อม ขรก.3 ราย คดีช่วยเหลือ 'ลูกทักษิณ' เลี่ยงภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป -คนใกล้ชิดเลขาฯ พจมาน โดนด้วย 2 ปี ไม่รอลงอาญา
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค.2559 ศาลอาญา ได้พิพากษาจำคุก นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร , น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ เป็นจำเลยที่ 1-5
ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ช่วยนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา คุณากรวงศ์ บุตรนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เลี่ยงภาษีโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด
โดยคดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ยื่นฟ้องเมื่อปี 2558 ระบุพฤติการณ์ของจำเลยสรุปได้ว่า จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย แต่จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
ศาลพิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ โดยมีจำเลยที่ 5 เป็นผู้สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือไม่ เห็นว่า คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร เคยมีความเห็นเกี่ยวกับรายได้และส่วนต่างการโอนขายหุ้นให้กับบุคคลธรรมดา เข้าลักษณะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ ซึ่งต้องนำเงินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ซึ่งกรณีของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ได้ประโยชน์จากส่วนต่างของการขายหุ้นละ 1 บาท จึงต้องเป็นรายได้ที่นำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี โดยผลจากการกระทำของจำเลยที่ 1-4 ในการตอบข้อหารือที่ขัดไปก่อให้เกิดความเสียหายต่อกรมสรรพากร ซึ่งความผิดสำเร็จตั้งแต่การตอบข้อหารือ โดยจำเลยที่ 5 ซึ่งหารือมายังสำนักกฎหมาย แล้วนำคำหารือไปใช้ประโยชน์ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนด้วย
ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 (นางเบญจา) ถึง 4 มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี
ส่วนจำเลยที่ 5 (น.ส.ปราณี คนใกล้ชิดเลขานุการคุณหญิงพจมาน) มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 จึงให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยทั้งหมดจึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
อย่างไรก็ดีทนายความจำเลยทั้งห้าได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างยื่นอุทธรณ์ โดยจำเลยที่ 1-4 ยื่นหลักทรัพย์เป็นหนังสือรับรองเพื่อรับการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ต้องหาคดีของกรมสรรพากร มีวงเงินไม่เกิน 4.2 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 5 ใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 3 แสนบาท
ล่าสุด จำเลยทั้งหมดยังรออยู่ในห้องพิจารณา รอการพิจารณาเงินประกันจากศาลอยู่
อ่านประกอบ :
ประเคนรถประจำตำแหน่ง 2 รมช.คลัง 6.9 ล้าน
บ้านสามหลัง “สามีเบญจา” 31 ล. ทองคำแท่ง – สร้อยคออื้อ
ผ่ากรุสมบัติ“เบญจา-หลังบ้าน”จากอธิบดีสู่รมต.หญิง 181 ล้าน