ป.ป.ช.แจ้งข้อหา “บุญทรง” ขายข้าวจีทูจีเก๊ เริ่มไต่สวน “ยิ่งลักษณ์”
“วิชา” เผยอนุไต่สวนป.ป.ช.มติแจ้งข้อหา “บุญทรง-ภูมิ” พ่วงข้าราชการและเอกชนรวม 15 ราย ปมขายข้าวจีทูจีจีนเก๊ สั่งสรรพากรรีดภาษี 17 บริษัทที่เกี่ยวข้อง เริ่มไต่สวน “ยิ่งลักษณ์” ไม่หยุดความเสียหายโครงการจำนำข้าว
เมื่อวันที่ 16 ม.ค.2557 เวลา 16.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริต แถลงว่า ภายหลังจากไต่สวนพยานหลักฐานคดีดังกล่าว มีพยานเอกสารเป็นหมื่นแผ่น พยานบุคคลกว่าร้อยปาก อนุกรรมการได้พิจารณาจำนวนแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีน ประกอบด้วย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ข้าราชการจำนวนหนึ่ง รวมถึงบริษัทเอกชนที่อ้างตัวว่าเป็นตัวแทนรัฐวิสาหกิจของจีน มาดำเนินการซื้อขายข้าวจีทูจี ได้แก่บริษัท จีเอสเอสจี จำกัด บริษัท ไห่หนาน จำกัด รวมถึงตัวแทนบริษัททั้ง 2 ซึ่งเป็นคนไทยจำนวนหนึ่ง รวมทั้งสิ้น 15 คน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว)มาตรา 11 ทั้งนี้ จะนัดมารับทราบข้อกล่าวหาเร็วๆ นี้
“หลังจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ก็จะนำไปสู่ขั้นตอนการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อไป ส่วนจะสามารถนำไปสู่การชี้มูลความผิดได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานในขั้นตอนการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” นายวิชากล่าว
นายวิชา กล่าวว่า สาเหตุที่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลทั้ง 15 คน เนื่องจากที่อ้างว่ามีการทำสัญญาขายข้าวจีทูจีกับจีน ข้อเท็จจริงเบื้องต้น พบว่าไม่มีสัญญาขายข้าวจีทูจีกับจีนดังกล่าวไม่มีอยู่จริง เพราะโดยปกติหากมีการขายข้าวจีทูจีกับจีนจะต้องผ่านหน่วยงานที่เรียกว่าคอฟโก แต่ปรากฏว่าการขายข้าวจีทูจีครั้งนี้ไม่ผ่านคอฟโก้ และในกระบวนการไต่สวนแม้จะมีการยืนยันว่าบริษัท จีเอสเอสจี จำกัดและบริษัท ไห่หนาน จำกัด เป็นรัฐวิสาหกิจของจีนจริง แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าได้รับมอบอำนาจในการมาซื้อข้าวแบบจีทูจีกับไทยแต่อย่างใด อนุกรรมการไต่สวนจึงพิจารณาแล้วเห็นว่า การขายข้าวครั้งนี้ไม่ใช่การขายข้าวแบบจีทูจีกับจีน
นายวิชา กล่าวว่า ส่วนกรณีบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด อนุกรรมการไต่สวนมีมติว่าต้องดำเนินการไต่สวนเพิ่มเติม เพราะมีพยานหลักฐานขยายผลไปถึงเอกชนรายใหญ่ 17 บริษัท ที่รับซื้อข้าวจากบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด อีกทอดหนึ่ง โดยมีหลักฐานเป็นการจ่ายเช็คเงินสดให้กับกรมการค้าต่างประเทศ ไม่ใช่การจ่ายเงินแบบจีทูจีให้กับจีน จึงไม่สามารถจะใช้อ้างอิงเพื่อยกเว้นภาษีได้ อนุกรรมการไต่สวนจึงมีมติให้ส่งเรื่องนี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสรรพากรและกรมการค้าต่างประเทศ ให้เรียกเก็บภาษีจากเอกชนรายใหญ่ ทั้ง 17 บริษัท ทั้งนี้อาศัยอำนาจตามมาตรา 16 ของกฎหมาย ป.ป.ช. หากหน่วยงานทั้ง 2 ไม่ดำเนินการตามที่อนุกรรมการไต่สวนมีมติ ก็จะมีการดำเนินการมาตรการต่อไป เนื่องจากเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะทำให้ประเทศชาติเสียรายได้มหาศาล
ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) นายวิชา กล่าวว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ได้มีมติเอกฉันท์อนุมัติตามที่อนุกรรมการไต่สวนเสนอ ให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยตามมาตรา 66 แห่งกฎหมาย ป.ป.ช. ว่าการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นประธาน กขช. แม้จะทราบข้อท้วงติงและความเสียหายจากการดำเนินโครงการดังกล่าว แต่กลับไม่ระงับยับยั้ง จึงถือว่าเป็นกรณีที่อาจเป็นมูลความผิดตาม ป.อาญา และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้หรือไม่ คงต้องไปว่ากันภายหลัง แต่ยืนยันว่าไม่มีล็อบบี้ไม่ให้เอาผิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตามที่มีกระแสข่าว ทั้งนี้ คำร้องที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวใน ป.ป.ช.มีทั้งสิ้น 7 คำร้อง รวมถึงกรณีถอดถอน ครม.ทั้งคณะ กรณีข้าวถุงด้วย
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต