ศาล ปค.สูงสุดพิพากษายืนให้การทางพิเศษฯชดเชยเอกชน 1.8 พันล.ปมสร้างทางด่วนแข่ง
ศาล ปค.สูงสุด พิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ยันคำชี้ขาดคณะอนุญาโตตุลาการไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย สั่งให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จ่ายค่าชดเชยรายได้ให้ บ.ทางด่วนกรุงเทพเหนือฯ ตามคำชี้ขาด 2 ปี 1.79 พันล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย หลังสร้างทางด่วนแข่งทำเอกชนเสียรายได้
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2561 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ในคดีที่บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด ผู้ร้อง ขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ที่ชี้ขาดให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยชำระเงินค่าชดเชยรายได้ และคดีที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ศาลปกครองสูงสุด โดยที่ประชุมใหญ่พิจารณาแล้วเห็นว่า การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ชำระเงินแก่บริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด และยกคำร้องของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยที่ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว
ทั้งนี้กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจากที่บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด ได้ก่อสร้างทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ตามสัญญาที่รัฐมนตรีมีมติให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการ ต่อมา กรมทางหลวงได้ก่อสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต บริษัทเห็นว่าเป็นทางแข่งขันกับทางด่วน สายบางปะอิน-ปากเกร็ด ตามที่กำหนดในสัญญา เนื่องจากไม่เข้าข้อยกเว้นที่ระบุไว้ว่า เป็นทางที่ไม่มีลักษณะแข่งขัน จึงร้องขอให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยชำระเงินค่าชดเชยที่ปริมาณจราจรและรายได้ลดลงจากที่ประมาณการไว้
ต่อมา คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดว่า ทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต เป็นทางแข่งขันที่ทำให้ปริมาณการจราจรและรายได้ค่าผ่านทางของทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ลดลงจากที่ประมาณการไว้ ซึ่งมีผลกระทบตามสัญญา จึงชี้ขาดให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ชำระเงินค่าชดเชยรายได้ที่ลดลงแก่บริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด สำหรับ ปี พ.ศ. 2542 จำนวน 730,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามที่กำหนดในสัญญา และสำหรับปี พ.ศ. 2543 จำนวน 1,059,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามที่กำหนดในสัญญา รวม 2 ปีเป็นเงินกว่า 1.79 พันล้านบาท