บ.ที่ปรึกษา กม. ถูกดีเอสไอบุกตรวจค้น ‘หุ้นใหญ่’ชาวต่างชาติโยงเครือข่ายในฮ่องกง
บ.ที่ปรึกษา กม. ถูกดีเอสไอบุก ตรวจค้น 4 แห่ง ที่แท้ กก.-หุ้นใหญ่ เป็นชาวต่างชาติ ถือบัตร ปชช.ไทย ร่วมเครือข่ายจดทะเบียนในฮ่องกง ใช้พนักงานลูกน้องก่อตั้ง เข้าซื้อขายที่ดินให้ลูกค้าต่างประเทศ
กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดย พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ได้มอบหมายให้ พ.ต.ต. สุริยา สิงหกมล รองอธิบดี นำคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 7/2561 สนธิกำลังร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เข้าดำเนินการตรวจค้นสถานที่เป้าหมายจำนวน 4 แห่ง ตามอนุมัติของศาลอาญา เข้าตรวจค้นสำนักงานที่ตั้งบริษัทที่ปรึกษากฎหมายและเครือข่าย 4 แห่ง ใน จ.ภูเก็ต 2 แห่ง ,จ.สุราษฎร์ธานี 1 แห่ง และ อาคารรัจนาการ เลขที่ 3 ชั้น AA ถนนสาทร แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร เป็นสำนักงานใหญ่ โดยพบว่ากลุ่มบริษัทที่ปรึกษากฎหมายดังกล่าวจัดให้พนักงานของบริษัท ซึ่งเป็นคนไทยเป็นตัวแทนอำพรางก่อตั้งบริษัท แล้วนำบริษัทดังกล่าวเข้าไปถือครองหุ้นในบริษัทอื่น ๆ เพื่อประกอบธุรกิจการค้าที่ดินให้กับชาวต่างชาติ โดยพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ซึ่งการถือครองที่ดินในลักษณะนอมินีดังกล่าวมีผลกระทบต่อความมั่นคง และภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงส่งผลต่อการเข้าถึงที่ดินของคนไทยโดยตรง ตามที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2561 (https://www.dsi.go.th/view?tid=T0002837)
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า บริษัทในกรุงเทพฯที่เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่และถูกดีเอสไอเข้าตรวจค้นนั้นปัจจุบันมีชาวต่างชาติ 2 รายถือหุ้นใหญ่
ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเมื่อวันที่ 29 พ.ย.2548 ก่อตั้งโดยชาวต่างชาติและคนไทยรวม 7 คน ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ ที่ปรึกษากฎหมาย ชาวต่างชาติ 2 คนถือหุ้นใหญ่ คนหนึ่งชื่อย่อ Da ถือสัญชาติไทยและได้บัตรประชาชนไทยมีที่อยู่ย่านถนนพิษณุโลก เขตดุสิต กรุงเทพฯ ถือ 10,194 หุ้น มีตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัทฯ ส่วนอีกคน เป็นชาวฝรั่งเศส แต่แจ้งที่อยู่ในบัญชีผู้ถือหุ้นในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ถือ 9,800 หุ้น จากทั้งหมด 20,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท
ปี 2550 มีคนไทย 1 คนนามสกุลดังเข้ามาถือหุ้นใหญ่และเป็นกรรมการด้วย ก่อนถอนหุ้นและลาออกจากกรรมการปี 2553 บริษัทฯดังกล่าวได้ขยายสาขาไปยัง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และ เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี
ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท ชาวต่างชาติสัญชาติไทยรายดังกล่าวถือหุ้นใหญ่ 102,797 หุ้น (51.39%) บริษัทในเครืออีกแห่ง มีที่อยู่เป็นห้อง ในอาคารไชน่า อินชัวร์รันซ์ กรุ๊ป ในฮ่องกง ถือ 97,202 หุ้น (48.60%) และชาวต่างชาติสัญชาติอังกฤษ ถือ 1 หุ้น รวม 200,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า วันที่ 16 ส.ค.2561 สำนักงานสาขาบริษัทดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ในซอยตรงกันข้ามห้างเทสโก้โลตัส ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ยังคงเปิดดำเนินการปกติ มีพนักงานหญิงสาวคอยรับโทรศัพท์และแจ้งว่า เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้าตรวจค้นและอายัดเอกสารของสำนักงานไปจริง แต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดอะไรได้ และขอให้ติดต่อสอบถามรายละเอียดจากผู้บริหารโดยตรงซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ขณะนี้อยู่ที่สำนักงานกรุงเทพฯ
ขณะที่สำนักงานสาขาของบริษัทฯอีกแห่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ยังคงเปิดสำนักงานเป็นปกติเช่นกัน มีพนักงานรับโทรศัพท์ให้รายละเอียดว่า บริษัทเป็นที่ปรึกษากฎหมายเจ้าของเป็นชาวอเมริกัน ลูกค้ามีทั้งชาวไทยและต่างชาติ ยอมรับว่า มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เข้ามาตรวจค้น และ ยึดเอกสารไปจำนวนหนึ่ง หากอยากทราบรายละเอียดต้องสอบถามกับผู้บริหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พฤติกรรมของชาวต่างชาติกลุ่มนี้ จดทะเบียนตั้งบริษัทนอมินีคล้ายกับคดีชาวต่างชาติ ‘แบนดิโดด’ ซึ่งดีเอสไอเคยปราบปรามไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ ปี 2549 ในพื้นที่เกาะภูเก็ต เกาะสมุย-พงัน จ.สุราษฎรานี เกาะลันตา จ.กระบี่ ซึ่งบางแห่งมีการทำธุรกรรมซื้อขายบ้านพักตากอากาศหรูและจดทะเบียนบริษัทผ่านสำนักงานกฏหมายและก่อสร้างบ้านพักตากอากาศขายให้ชาวต่างชาติ ไม่ได้เสียภาษีให้กับทางการไทย ส่วนผู้ที่จดทะเบียนเป็นเจ้าของบริษัทและกรรมการส่วนใหญ่เป็นนอมินีคนไทยถูกว่าจ้าง และ เมื่อดำเนินการจดทะเบียนแล้ว มีการครอบครองที่ดิน เมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้น ก็จดทะเบียนเปลี่ยนกรรมการบริษัทเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งบุคคลต่างชาติ ที่เข้ามาถือครองบริษัทก็มีสิทธิ์ครอบครองที่ดินสิ่งปลูกสร้าง โดยไม่ต้องเสียภาษีซื้อขายให้ทางราชการไทย
หมายเหตุ : ภาพประกอบข่าวจาก https://www.dsi.go.th/view?tid=T0002837