อควาฟ้องอาญา-แพ่ง330ล.'ชูวิทย์ พิธีกร ผู้บริหารช่อง 3'กล่าวหาพันค้ามนุษย์ ฟอกเงิน
'บมจ.อควา'ฟ้องศาลอาญา ศาลแพ่ง 'ชูวิทย์ -พิธีกร -ผู้บริหารช่อง 3' รวมจำเลยนับสิบ ฐานหมิ่นประมาทปมกล่าวหาเอี่ยวค้ามนุษย์ ฟ้องแพ่งด้วย 333 ล้าน สอดรับคำสั่งหนึ่งในทีมผู้บริหารองค์กรสื่อ ส่งแชร์ต่อโลกออนไลน์ สั่งหน่วยงานผลิตเนื้่อหาในสังกัด จับตาการเสนอข่าว ช่อง 3 -ไทยรัฐทีวี ใกล้ชิด ขู่หากปล่อยออกอากาศอีก นอกจากเจอฟ้อง โดนขุดคุ้ยข้อมูลธุรกิจด้วย
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ในช่วงค่ำวันที่ 30 ม.ค.2561 ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่า บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งหมายประชาสัมพันธ์สื่อมวลชนว่า ได้แต่งตั้งให้นายณัฐพล ชิณะวงศ์ เป็นทนายความรับผิดชอบการยื่นเรื่องฟ้องคดีอาญาหมิ่นประมาท นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และผู้เกี่ยวข้องในสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 รวมจำนวน 10 ราย จากการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมาโดยมีการกล่าวหาว่าบริษํทมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดค้ามนุษย์ โดยนายณัฐพล จะเดินทางไปยื่นเอกสารฟ้องร้องต่อศาลอาญาและตอบข้อซักถามกับสื่อมวลชนเป็นทางการ ในช่วงเวลา 13.00 น. วันที่ 31 ม.ค.2561 นี้
เบื้องต้น สำนักข่าวอิศรา ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง นายณัฐพล ชิณะวงศ์ เพื่อสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการยื่นเรื่องฟ้องคดีหมิ่นประมาทครั้งนี้ นายณัฐพล ชิณะวงศ์ ยืนยันว่า จะเดินทางไปยื่นเรื่องต่อศาลอาญา วันนี้ (31 ม.ค.) ในช่วงเวลาประมาณ 13.00 น. ส่วนรายชื่อบุคคลที่จะถูกฟ้องร้องว่าเป็นใครบ้างนั้น ขอให้ไปสอบถามข้อมูลจากบริษัทเอง
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ขณะเดียวกัน ในช่วงค่ำวันที่ 30 ม.ค.2561 ที่ผ่านมา ในแวดวงสื่อมวลชน มีการส่งแชร์ต่อบันทึกข้อความของ หนึ่งในทีมผู้บริหารองค์กรสื่อดังแห่งหนึ่ง ที่สั่งการไปยังทีมงานที่คอยดูแลเนื้อหาสื่อในสังกัดทุกหน่วย ให้ติดตามตรวจสอบการนำเสนอข้อมูลของนายชูวิทย์ ผ่านสื่อช่อง 3 และไทยรัฐทีวี อย่างใกล้ชิด และแจ้งให้เตรียมขุดคุ้ยข้อมูลด้านลบของนายชูวิทย์ เรื่องต่างๆ มานำเสนอต่อสาธารณะชนด้วย อาทิ กรณีการบุกรื้อบาร์เบีย วัตถุประสงค์ในการเข้ามาเล่นการเมือง และเจาะลึกข้อมูลการเสียภาษีจากการขายธุรกิจอาบอบนวด เป็นต้น
ทั้งนี้ ในคำสั่งดังกล่าวระบุชัดเจนว่า ในส่วนของช่อง 3 หากยังปล่อยให้นายชูวิทย์ นำเสนอข้อมูลต่อ นอกเหนือจากการถูกฟ้องร้องแล้ว จะถูกขุดคุ้ยข้อมูลเรื่องการทำธุรกิจ เช่นเดียวกับไทยรัฐทีวี ที่ถูกขุดคุ้ยข้อมูลทางธุรกิจด้วย
ต่อมาเมื่อเวลา 13.15 น.ของวันที่ 31 ม.ค. นายณัฐพลได้เดินทางมาที่ศาลอาญาและได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชน โดยเปิดเผยรายละเอียดของจำเลย 10 ราย ที่ทางบริษัทอควาได้ยื่นฟ้อง โทษฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ประกอบด้วย จำเลยท่ี่ 1 บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด จำเลยที่ 2 นายประวิทย์ มาลีนนท์ จำเลยที่ 3 นายประชุม มาลีนนท์ จำเลยที่ 4 น.ส.รัตนา มาลีนนท์ จำเลยที่ 5 น.ส.นิภา มาลีนนท์ จำเลยที่ 6 น.ส.อัมพร มาลีนนท์ จำเลยที่ 7 นางรัชนี นิพัทธกุศล จำเลยที่ 8นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จำเลย ที่ 9 น.ส. พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ จำเลยที่ 10 นายภิษิต อภิญญาวาท โดยศาลอาญาได้รับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ 326/2561 และนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 28 พ.ค. นี้ เวลา 9.00 น.
สำนักข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมว่าก่อนหน้านี้นายณัฐพลได้เดินทางไปยังศาลแพ่งเพื่อฟ้องแพ่งกับจำเลยจำนวน 15 คน โดยฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 333 ล้านบาท ซึ่ง ศาลแพ่งได้ประทับรับคำฟ้องไว้เป็นคดีดำ 533/2561 โดยนัดชี้สองสถานเพื่อกำหนดประเด็นสืบพยานในวันที่ 22 เม.ย.นี้ เวลา 9.00 น. โดยมีจำเลยจำนวน 15 รายประกอบด้วย 1.บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) 2.บริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์จำกัด 3.นายประวิทย์ มาลีนนท์ 4. น.ส.รัตนา มาลีนนท์ 5. น.ส.นิภา มาลีนนท์ 6.น.ส.นิภา มาลีนนท์ 7. น.ส.อัมพร มาลีนนท์ 8.นางรัชนี นิพัทธกุศล 9.นายสมประสงค์ บุญยะชัย 10.นายแมทธิว กิจโอธาน 11.นายวรวรรธน์ มาลีนนท์ 12.นายทศพล มาลีนนท์ 13.นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ 14.น.ส.พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ 15 นายภาษิต อภิญญาวาท
สำนักข่าวอิศรากล่าวต่อว่าสำหรับรายละเอียดของคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้องต่อศาลอาญานั้นบรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 17-23 ม.ค. 2561 จำเลยทั้ง 10 ร่วมกันหมิ่นประมาทโจทก์ โดยร่วมกันออกอากาศรายการข่าว “เรื่องเล่าเช้านี้” ในช่วงรายการ “ชูวิทย์มีเรื่องเล่า” ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่งมีบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นผู้ประกอบการ จำเลยที่ 2-7 เป็นผู้บริหาร จำเลยที่ 8- 10 เป็นพิธีกร ได้กล่าวถ้อยคำอันมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ โดยใช้วิธีนำเสนอในลักษณะเป็นแผนภูมิให้เห็นภาพเกี่ยวกับการโอนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีการพาดพิงนายกำพล วีระเทพสุภรณ์ ผู้ถือหุ้น และแสดงให้เห็นว่ามีการเชื่อมโยงกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ ว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันเป็นการสร้างความเสียหายแก่โจทก์
การกระทำดังกล่าวเป็นการเจตนาใส่ความโจทก์ให้เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณทางทำมาหาได้ กล่าวคือ รายการดังกล่าวเป็นกิจการของจำเลยที่ 1-7 ออกอากาศโดยมีจำเลยที่ 8-10 เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ออกอากาศใส่ความโจทก์ให้ผู้ชมทางรายการโทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เข้าใจผิดว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ การฟอกเงิน การปั่นหุ้น มีธุรกิจอาบอบนวดเข้ามาถือหุ้น มีส่วนพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ทั้งที่จริงโจทก์เป็นบริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ มีผู้ถือหุ้นหลายราย นายกำพลเป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายหนึ่ง แม้จำนวนหุ้นที่นายกำพลถือนั้นจะมีจำนวนมากน้อยเท่าใดก็ไม่ทำให้นายกำพลกำหนดทิศทางบริหารบริษัทโจทก์ได้ เพราะไม่ได้เป็นกรรมการ
การที่จำเลยที่ 8 กล่าวว่า “บริษัทค้ามนุษย์จำกัดมหาชน, เงินจากการค้ามนุษย์วิคตอเรียซีเครท” โดยทำเครื่องหมายลูกศรชี้ไปทางบริษัท A กับใช้แผนผังชื่อว่า บริษัทค้ามนุษย์จำกัดมหาชน เครือข่ายเสี่ยกำพล ขบวนการฟอกขาว โดยทำลูกศรเชื่อมโยงธุรกิจอาบอบนวดหลายแห่งไปที่โจทก์เพื่อให้เห็นว่า กลุ่มธุรกิจอาบอบนวดเข้ามาถือหุ้นในบริษัทโจทก์เพื่อการฟอกเงินและโจทก์เป็นกลุ่มทุนสนับสนุนนายกำพล และมีข้อความทำนองว่า เป็นเงินจากสปอนเซอร์หุ้นอันดับ 1 และแผนผังต่างๆประกอบกับข้อความในตัวย่อ ย่อมทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าโจทก์เป็นแหล่งฟอกเงิน มีธุรกิจอาบอบนวด ซึ่งประชาชนทั่วไปย่อมเข้าใจว่าเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี
จำเลยที่ 8-10 ยังได้ชี้นำสังคมว่านายกำพลเป็นผู้กระทำความผิดไปแล้ว และโจทก์มีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องยินยอมให้นายกำพล และธุรกิจอาบอบนวดต่างๆ ที่มีนายกำพลเกี่ยวข้องเข้ามาถือหุ้นฟอกเงินและปั่นหุ้นเป็นทุนสนับสนุนการดำเนินกิจการผิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทโจทก์ที่ตกลงอย่างมาก รวมทั้งความไว้วางใจ แม้ตัวอักษร A จะไม่ได้กล่าวถึงชื่อบริษัทโจทก์ก็ตาม แต่ก่อนหน้านี้พวกจำเลยได้นำเสนอข่าวใช้คำว่า อควา หรือ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กับใช้อักษรตัว A สลับกันไปมาเป็นเรื่องปกติ ทำให้เข้าใจไปว่าตัวอักษร A เป็นบริษัทโจทก์อย่างไม่มีข้อสงสัย ขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนัก และให้โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ 7 ฉบับ