หวังใหม่ยุคดิจิทัล เอ็นจีโอดึงเทคโนโลยีบล็อคเชนช่วยระบุสถานะพลเมืองให้กับโรฮิงญา
เอ็นจีโอนำเทคโนโลยีบล็อคเชนมาช่วยระบุตัวตนชาวโรฮิงญา ขึ้นทะเบียนเป็นบัตรประชาชนแบบดิจิทัล เพื่อช่วยให้เข้าถึงระบบพื้นฐานอย่างศาธารณสุข การศึกษา
(ภาพจาก Reuters/Marko Djurica)
เมื่อเร็วๆ นี้องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรได้เปิดเผยโปรเจ็คช่วยเหลือชาวโรฮิงญาโดยการนำเทคโนโลยีบล็อคเชน(Blockchain) มาในการขึ้นทะเบียนบัตรประชาชนดิจิทัล โดยโครงการนี้ยังเป็นโครงการนำร่องที่ต้องการให้ชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ได้เข้าถึงระบบพื้นฐานอย่างการศึกษาและการเงิน
โดยโครงการนำร่องกับ 1,000 คนแรกโดยคาดว่าจะเริ่มใช้ในปีหน้า (2018) เมื่อพวกเขาได้ถูกขึ้นทะเบียนแล้วจะกลายเป็นสมาชิกพลัดถิ่นทั้งในมาเลเซีย บังคลาเทศและซาอุดิอาราเบีย
Kyri Andreou ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการโรฮิงญานี้ ระบุว่า คาดว่ามีชาวโรฮิงญาราว 4 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพ นับตั้งแต่ที่รัฐบาลเมียนมาปฏิเสธความเป็นพลเมืองในฐานะกลุ่มชาติพันธุ์เมื่อปี 1982(พ.ศ. 2525) ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นคนไร้ถิ่นทันทีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่นำมาใช้นี้ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยียุคใหม่ที่ถูกใช้มากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กรณีบิทคอยน์ และสำหรับโปรเจ็คนี้พวกเขาจะนำมาระบุความเป็นพลเมืองดิจิทัลให้กับชาวโรฮิงญาที่ได้รับการพิสูจน์ชัดเจนว่าเป็นกลุ่มคนพลัดถิ่นจริง
โดยเป้าหมายที่หลักคือการช่วยยกระดับการมีตัวตนของพวกเขาเพื่อการเข้าถึงปัจจัยขั้นพื้นฐานอย่างเช่นการรักษาพยาบาล ที่ปัจจุบันยังพบว่ามีความยากลำบาก รวมไปถึงการฟื้นฟูความมนุษย์ให้กับพวกเขา
ด้าน Muhammad Noor หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโครงการฯ และเป็นหนึ่งในผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาที่เดินทางเข้ามาในมาเลเซียในปี 2000 กล่าวด้วยว่า พวกเราพยายามเพิ่มรอยยิ้มให้ชาวโรฮิงญา ที่ผ่านมาสิบกว่าปีเราเห็นแต่รอยน้ำตา โปรเจ็คนี้จึงเปรียบเหมือนแสงแห่งความหวัง โดยที่โปรเจ็คนี้จะช่วยให้พวกเขาเข้าถึงระบบสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน ระบบการเงิน การศึกษาซึ่งพวกเขาไม่เคยได้รับมาตลอดการเป็นคนไร้ชาติ
ในรายงานของ เดอะซัน ( The Sun ) Muhammad Noor อธิบายถึงโปรเจ็คนี้ว่า จะเป็นการเน้นที่สองประเด็นหลักคือ การระบุตัวตนและโอกาส ซึ่งระบบจะเริ่มทำการระบุตัวตน จัดทำสำมะโนครัวเป็นครั้งแรก
ชาวโรฮิงญาคนหนึ่งในโครงการ กล่าวว่า บรรพบุรุษของพวกเขาจะถูกระบุอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ในเครือญาติ
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีบล็อคเชนนี้จะเป็นการบันทึกข้อมูลธุรกรรมทางดิจิทัลที่ดูเเลโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยไม่จำเป็นต้องมีอำนาจจากส่วนกลาง โดยได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการใช้เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การโอนเงินช่วยเหลือที่สามารถทำได้ถูกลง