- Home
- Isranews
- ข่าว
- หลักฐานมัดขอคืน13ล.!ป.ป.ช.ฟันวินัยร้ายแรง-อาญา อดีตบิ๊กพศ. เงินทอนวัด-จ่อคิวอีก97คดี
หลักฐานมัดขอคืน13ล.!ป.ป.ช.ฟันวินัยร้ายแรง-อาญา อดีตบิ๊กพศ. เงินทอนวัด-จ่อคิวอีก97คดี
แถลงมติ ป.ป.ช. ฟันวินัยร้ายแรง-อาญา อดีตบิ๊ก พศ. กับพวก อมเงินทอนวัดพนัญเชิง 57-58 รวม 13 ล้าน เผยหลักฐานมัดแน่น 'ประนอม' รับหน้าที่คุย ให้เงินอุดหนุน 2 ยอด 2 ปี 20 ล้าน ยอดแรก 10 ล้าน ก่อนขอให้โอนคืน 8 ล้าน เข้าบัญชีส่วนตัว อีกยอด 10 ล้าน คืนเป็นเงินสด 5 ล้าน เผยเหลืออีก 97 คดี โมเดล-ตัวละครเดียวกัน
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2560 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการป.ป.ช. แถลงข่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดร่วมกันทุจริตเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ที่อนุมัติให้แก่วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ปีงบประมาณ 2557,2558 ซึ่งการให้เงินอุดหนุนทั้ง 2 ปีนั้นมีลักษณะเดียวกัน โดย น.ส.ประนอม คงพิกุล รองผอ.พศ.เป็นผู้ไปคุยกับทางวัด โดยปี 2557 ให้เงินอุดหนุน 10 ล้านบาท แต่ขอให้วัดโอนคืน 8 ล้านบาทเข้าบัญชีส่วนตัวไม่ใช่บัญชีของ พศ. และปี 2558 ให้เงินอุดหนุนวัด 10 ล้านบาท แต่ขอให้วัดคืนเป็นเงินสด 5 ล้านบาทเลย ซึ่งจากพฤติการณ์ทั้งหมดจะเห็นว่ามีการวางแผน แบ่งหน้าที่กันทำเป็นขั้นตอน
คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติชี้มูลความผิด นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผอ.พศ. นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ., น.ส.ประนอม คงพิกุล อดีตรองผอ.พศ. โดยมีความผิดทางวินัยร้ายแรง และผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 151, 157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 90 ส่วนนางชมพูนุท จันฤาไชย (คนใกล้ชิดนายนพรัตน์) เป็นผู้สนับสนุน
นายวรวิทย์ ระบุว่า ตามที่คณะกรรมการป.ป.ช. ได้แต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวน กรณีกล่าวหานายนพรัตน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กับพวก ร่วมกันทุจริตงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด และการพัฒนาวัด ที่อนุมัติให้แก่วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ประจำปีงบประมาณ 2557-2558 นั้น
จากการไต่สวนพบว่า พฤติการณ์ได้มีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิดเป็นขั้นเป็นตอน โดยจะมีกลุ่มบุคคลหน้าทำหน้าที่ติดต่อวัดต่างๆ โดยแจ้งว่า จะมอบเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์ และการพัฒนาวัด แต่มีเงื่อนไขว่า วัดจะต้องมอบเงินกลับคืนเพื่อนำไปใช้ในกิจการของพศ. ในการจัดสรรให้แก่วัดต่างๆ ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวจะนำรายชื่อวัดที่เชื่อตามคำกล่าวอ้างไปทำเอกสารการอนุมัติเงินอุดหนุน โดยที่ไม่มีคำขอรับเงินอุดหนุนของวัดประกอบการพิจารณาตามขั้นตอนและระเบียบแบบแผนของทางราชการ และเมื่อมีการโอนเงินอุดหนุนเข้าบัญชีเงินฝากของวัดแล้ว กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะแจ้งให้วัดโอนเงินหรือรับเงินกลับคืนมา แล้วนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต (ดูรายละเอียดแผนผังผู้เกี่ยวข้องท้ายข่าว)
นายวรวิทย์ กล่าวอีกว่า กรณีนี้สืบเนื่องจากเมื่อปีงบประมาณ 2557 น.ส.ประนอม คงพิกุล ขณะดำรงตำแหน่งผอ.กองพุทธศาสนสถาน ได้ติดต่อทางวัดพนัญเชิงว่า จะจัดสรรเงินอุดหนุนจำนวน 10 ล้านบาท แต่เมื่อวัดได้รับแล้วจะให้โอนเงินจำนวน 8 ล้านบาท กลับเข้าบัญชีเงินฝากของนางชมพูนุท จันฤาไชย ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดของนายนพรัตน์ โดยแจ้งว่า จะนำไปใช้ในกิจการของพศ.
ทั้งนี้ น.ส.ประนอม ได้จัดทำเอกสารการอนุมัติเงินจำนวน 10 ล้านบาท เสนอให้นายนพรัตน์ อนุมัติเงินอุดหนุน โดยไม่มีคำขออุดหนุนตามระเบียบของทางราชการ และหลังจากพศ. ได้โอนเงินให้วัดแล้ว ปรากฏว่า ทางวัดได้โอนเงิน 8 ล้านบาท กลับเข้ามายังบัญชีของนางชมพูนุท โดยนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ส่วนในปีงบประมาณ 2558 ก็เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน โดยน.ส.ประนอม ได้ไปติดต่อวัดอีกครั้งแล้วแจ้งว่า จะโอนเงินอุดหนุนให้กับวัด 10 ล้านบาท แต่ในครั้งนี้มีเงื่อนไขว่าวัดจะต้องคืนเงินสดจำนวน 5 ล้านบาท ให้กับน.ส.ประนอม หลังจากนั้นน.ส.ประนอม ได้จัดทำเอกสารหลักฐานการขออนุมัติเงินอุดหนุนให้แก่วัด 10 ล้านบาท เสนอนายพนม ศรศิลป์ ขณะดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทนผอ.พศ. พิจารณาอนุมัติเงินอุดหนุน โดยไม่มีคำขอรับเงินอุดหนุนของวัดประกอบการพิจารณาเช่นกัน และเมื่อมีการโอนเงินให้แก่วัด 10 ล้านบาทแล้ว ทางวัดได้นำเงินสดจำนวน 5 ล้านบาท ไปมอบให้กับ น.ส.ประนอม โดยนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
นายวรวิทย์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาแล้วจึงมีมติว่า การทุจริตในปีงบประมาณ 2557 นายนพรัตน์ และน.ส.ประนอม มีมูลความผิดเป็นตัวการร่วมในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 151 และ157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 90 และผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองรายมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 82 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 85 (7) และมาตรา 85 (1) และ (4) ส่วนนางชมพูนุท ไม่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและพนักงานตามกฎหมาย จึงเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 151 และ 157 ประกอบมาตรา 86
รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวอีกว่า สำหรับการทุจริตในปีงบประมาณ 2558 นายพนม มีมูลความผิดเป็นตัวการร่วมในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 151 และ157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 90 ส่วนน.ส.ประนอม มีมูลความผิดฐานเป็นตัวการร่วมในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 151 และ157 ประกอบมาตรา 83, 90 และ91 และมีมูลความผิดฐานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 162 (1) และ (4) อีกบทหนึ่งด้วย นอกจากนี้ นายพนม และน.ส.ประนอม ยังมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 82 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 85 (7) และมาตรา 85 (1) และ (4) ทั้งนี้ สำนักงานป.ป.ช. มีความเห็นให้ส่งรายงานและเอกสาร พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า สำนวนการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตเงินทอนวัดในป.ป.ช. ขณะนี้ยังเหลืออีกกี่สำนวน นายวรวิทย์ กล่าวว่า กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.ตร.) ได้ส่งมาจำนวน 2 ล็อต รวม 35 คดี และยังมีที่ประชาชนร้องเรียนกรณีทุจริตเงินทอนวัดปีงบประมาณ 2557 – 2558 อีก 62 แห่ง รวมทั้งสิ้น 97 คดี ไต่สวนไปแล้ว 8 คดี โดยพฤติกรรมการทุจริตมีลักษณะคล้ายคลึงกัน และตัวละครเดียวกัน จึงจะใช้เวลาพิจารณาคดีที่เหลือไม่นาน ซึ่งป.ป.ช.จะทยอยดำเนินการต่อไป