พระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชฯ ‘ดิสธร’ ประพฤติชั่วร้ายแรง
ราชกิจจาฯ เผยแพร่ทางการประกาศโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชฯ ‘ดิสธร’ ประพฤติชั่วร้ายแรง-ไล่ออกจากราชการ ตั้งแต่ 6 พ.ย.2560
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ในช่วงค่ำวันที่ 10 พ.ย.2560 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศเรื่อง พระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ระบุว่า มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ซึ่ง นายดิสธร วัชโรทัย ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายพลเรือน ตําแหน่งประจําสํานักพระราชวังพิเศษ ระดับ 10 สังกัดราชการบริหารส่วนกลาง สํานักพระราชวังได้รับพระราชทาน เนื่องจากถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ ตามคําสั่งสํานักพระราชวัง ที่ 568/2560ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 เพราะเหตุกระทําผิดวินัย ฐานกระทําการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โดยมีกรณีความผิดกล่าวคือ นายดิสธร วัชโรทัย ซึ่งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ฯ อีกหน้าที่หนึ่ง ได้ใช้อํานาจของตนสั่งการให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ฯ แสดงเอกสารรับรองว่าบุคคลภายนอกได้บริจาคเงินให้แก่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ฯ เป็นจํานวนเงินยี่สิบห้าล้านบาท ซึ่งเงินจํานวนดังกล่าวเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าตามปกติ โดยไม่ได้มีการบริจาคเงินจํานวนดังกล่าวจริงแต่อย่างใด และ นายดิสธร วัชโรทัยได้นําเอกสารรับรองการบริจาคดังกล่าวเสนอต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นทุติยดิเรกคุณาภรณ์ให้แก่บุคคลภายนอก อันเป็นการฉ้อโกงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และ นายดิสธร วัชโรทัย ในฐานะรองเลขาธิการพระราชวัง ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลกองพระราชพาหนะ ได้นํารถยนต์ในพระปรมาภิไธยไปใช้จนเกิดอุบัติเหตุ และแอบอ้างพระปรมาภิไธย เพื่อยกเว้นภาษีการนําเข้ารถยนต์จากต่างประเทศแล้วนํารถยนต์ที่นําเข้าจากต่างประเทศไปใช้ทดแทนรถยนต์คันเดิมที่ประสบอุบัติเหตุ โดยไม่ปรากฏหลักฐานการน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายรถยนต์คันใหม่และไม่มีหลักฐานการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันเดิมแต่อย่างใด
นอกจากนี้ นายดิสธร วัชโรทัยได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาของตนเอง เมื่อหญิงตั้งครรภ์กลับพาหญิงคนดังกล่าวไปทําแท้ง นอกจากนั้นเมื่อหญิงคนดังกล่าวตั้งครรภ์เป็นครั้งที่สอง นายดิสธร วัชโรทัย ก็ยังบังคับข่มขืนใจเพื่อให้ไปทําแท้งอีกครั้งแต่หญิงคนดังกล่าวไม่ยินยอม นายดิสธร วัชโรทัย จึงบังคับหญิงคนดังกล่าวให้แต่งงานกับชายอื่น ซึ่งไม่เคยมีความสัมพันธ์กัน อีกทั้ง นายดิสธร วัชโรทัย ได้นําดินที่ขุดทิ้งจากพื้นที่โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ ซึ่งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ฯ ขอรับบริจาคจากสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในกิจการของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ฯ แต่ นายดิสธร วัชโรทัยกลับนําดินดังกล่าวไปขายให้แก่โครงการหมู่บ้านจัดสรรและยังนําดินส่วนหนึ่งไปถมในพื้นที่ของครอบครัวตนเอง ซึ่งมิได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ขอรับบริจาค พฤติกรรมดังกล่าวของ นายดิสธร วัชโรทัยเป็นการกระทําผิดราชสวัสดิ์และเป็นความผิดวินัยฐานกระทําการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงเห็นสมควรได้รับโทษไล่ออกจากราชการ ซึ่งสํานักพระราชวังพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทําของ นายดิสธร วัชโรทัย เป็นความผิดวินัยฐานกระทําการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
จึงเห็นควรลงโทษไล่ออกจากราชการ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 มาตรา 15 และมาตรา 18แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 จึงลงโทษไล่ นายดิสธร วัชโรทัย ออกจากราชการและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งมีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ต้องเรียกคืนตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 ประกอบด้ว ย ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือ ก มหาวชิรมงกุฎ ประถมาภรณ์ช้างเผือกประถมาภรณ์มงกุฎไทย ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทยทุติยจุลจอมเกล้า ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย เหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์เหรียญจักรพรรดิมาลา และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 5
(อ่านประกอบ : พลิกปูมเส้นทาง ‘ดิสธร’ ปี 42 ถึง 60 - กก. 3 บริษัท ก่อนถูกไล่ออกราชการ)