อดีตนายทหาร6คน อยู่เบื้องหลัง!หม่อมอุ๋ย เปิดแผนฮุบตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ
อดีตนายทหารระดับสูง6คน-ผู้มีอิทธิพลในครม.อยู่เบื้องหลัง! หม่อมอุ๋ย เปิดแผนความไม่ชอบมาพากลตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ครองอำนาจเหนือแหล่งพลังงาน วอน สนช. ระวังพิจารณาลงคะแนนเสียง 30 มี.ค.60 นี้
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 27 มี.ค.2560 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยระบุว่า ที่เรียนเชิญสื่อมวลชนมารับฟังการแถลงข่าวครั้งนี้ เพราะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเกี่ยวกับการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเกิดขึ้น ซึ่งตนไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี จึงเลือกวิธีการทำจดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุว่า หลังพ้นหน้าที่จากคณะรัฐบาล (ครม.) ชุดปัจจุบันมาแล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เฝ้าติดตามเรื่อยมา เพราะหากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงจะมีผลเสียต่อประเทศชาติเป็นอย่างมากชนิดที่ว่าจะแก้กลับไม่ได้ และนั่นก็คือ ความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งจะเข้ามามีอำนาจเหนือแหล่งพลังงานและกิจการพลังงานของชาติ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับผิดชอบดูแลกระทรวงพลังงาน ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อขอทราบนโยบายว่าจะให้มีการสำรวจหาแหล่งก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมหรือไม่ คำตอบของนายกรัฐมนตรี ก็คือ ยืนยันที่จะให้มีการสำรวจ และมอบให้ผมแก้ไขกฎหมาย (พ.ร.บ.ปีโตรเลียม) เพื่อมิให้การสำรวจและการผลิตจำกัดอยู่เฉพาะระบบสัมปทานดังที่ปรากฏอยู่ใน พ.ร.บ. ฉบับที่ใช้อยู่ จึงได้มอบให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานร่างแก้ไขกฎหมายให้เปิดกว้าง โดยให้รวมถึงระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) และ ระบบจ้างสำรวจและผลิตด้วย
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อได้มีการศึกษาร่างกฎหมายให้เปิดกว้างดังกล่าว ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกฤษฎีกา และส่งกลับมาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในช่วงกลางเดือนก.ค.2558 ปรากฏว่า ไม่มีการนำเรื่องเสนอที่ประชุม ครม. จนตนต้องไปตามเรื่องจึงทราบว่าติดอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ในที่สุดก็ยอมให้นำเรื่องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 สิงหาคม 2558 ซึ่งที่ประชุมมีมติให้นำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อตราเป็นกฎหมายออกใช้ เพื่อที่จะได้สามารถเริ่มการสำรวจก๊าซธรรมชาติได้ทันใช้
"สิ่งที่น่าแปลกใจก็ คือทันทีที่ ครม.มีมติดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้บอกผมว่า ก่อนนำเสนอ สนช. ขอให้ผมชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพลังงานของ สนช. ผมได้ปฏิบัติตามโดยเชิญคณะกรรมาธิการดังกล่าวมาสนทนากันที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ผู้ที่มาพบมีด้วยกัน 7 คน ปรากฏว่า เป็นอดีตนายทหารระดับสูงถึง 6 คน เมื่อผมชี้แจงแล้วก็ได้รับคำตอบว่า ไม่ขัดข้องที่จะเปิดทางเลือกในการสำรวจและการผลิตให้มีหลายวิธี แล้วเลือกจากวิธีที่ประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด แต่เห็นว่า พรบ.ฉบับนี้ยังขาดไปอีก 1 เรื่อง คือเรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งทำให้ผมประหลาดใจเป็นอย่างมาก"
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวย้ำว่า ตนได้ชี้แจงกลับทันทีว่าจุดมุ่งหมายของการออก พ.ร.บ.ใหม่ฉบับนี้ก็เพื่อจะเปิดโอกาสให้มีการสำรวจก๊าซธรรมชาติโดยให้ครอบคลุมถึงวิธีการต่างๆให้มากขึ้นกว่าระบบสัมปทานแต่อย่างเดียว ซึ่งเป็นไปตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ไม่เคยมีใครพูดถึงบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเลย กระทรวงพลังงานไม่มีนโยบายในเรื่องนี้ และเมื่อนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ผมร่างกฎหมาย ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ตัวแทนคณะกรรมาธิการดังกล่าวก็ยังยืนยันว่าควรเพิ่มเติมเรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเข้าไปด้วย ตนได้แจ้งว่าคงจะเติมให้ไม่ได้เพราะไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล และจะขอเสนอร่างไปยัง สนช. ตามที่ร่างไว้
"ครั้นถึง 19 สิงหาคม 2558 ผมก็พ้นจากตำแหน่งโดยยังไม่ทันได้เสนอร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวต่อ สนช. รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคนต่อมาได้นำร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวเสนอต่อ สนช. ตามเนื้อหาที่ร่างไว้เดิม ปรากฏว่าคณะกรรมาธิการการพลังงานได้เสนอร่าง พ.ร.บ. เพิ่มเติมอีกฉบับหนึ่งเพื่อจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ รัฐบาลจึงส่งร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา หากเห็นด้วยก็อาจรวมเป็นร่างเดียวกันได้ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เชิญรองนายกรัฐมนตรีที่คุมงานของกระทรวงพลังงานไปชี้แจง ซึ่งท่านได้ชี้แจงว่า ไม่เห็นด้วยและไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ คณะกรรมการกฤษฏีกาจึงได้ปฏิเสธที่จะเพิ่มเติมเรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเข้าไปในร่าง พ.ร.บ. ของรัฐบาล และส่งเรื่องกลับไปยัง ครม. ซึ่งได้มีมติให้ส่งร่างเดิมของรัฐบาลไปยัง สนช. เพื่อพิจารณาออกเป็นกฏหมายต่อไป"
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังระบุด้วยว่า การโอนอ่อนผ่อนตามให้มีการเพิ่มมาตราในเรื่องใหม่ดังกล่าว ทั้งที่รัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่จะทำ และแม้กระทั่งการศึกษาถึงผลได้ผลเสียตลอดจนความจำเป็นในการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ รัฐบาลก็ยังไม่เคยทำไว้ คณะรัฐมนตรีไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดเลยที่จะต้องโอนอ่อนผ่อนตามคำขอที่ไม่ชอบมาพากลของคณะกรรมาธิการฯในเรื่องนี้ นอกเสียจากว่าจะเกรงใจใครบางคนหรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในคณะรัฐมนตรีด้วย และหากเป็นไปตามร่างดังกล่าว กิจการน้ำมันของประเทศก็จะถอยหลังไป จึงใคร่ขอร้องมายังสมาชิกสนช. ที่จะเข้าประชุมในวันที่ 30 มี.ค.มี2560 นี้ได้โปรดช่วยชาติด้วยการใช้ความระมัดระวังในการลงคะแนนเสียงเพื่อมีมติเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ปิโตรเลี่ยม ในวาระ 2 และ วาระ 3 ด้วย
ช่วงท้ายการแถลงข่าว ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ตอบข้อซักถาม ถึงความไม่ชอบมาพากลของการเสนอกฎหมายฉบับนี้ มีการแอบทำแอบซุกวาระ 1 ไม่มี วาระ2 มี แปลว่าอะไร นี่คือความไม่ชอบมาพากล หากไม่ซุกตรงนี้แล้วเสนอเป็นพ.ร.บ.ใหม่จะเหมาะสมกว่า เนื้อหาวิธีการมีมาตรา 10/1โผล่มาประหลาดมาก เป็นเรื่องใหม่เอี่ยม
"ที่ผ่านมาประเทศเราพลังงานทำมาได้ด้วยดี พัฒนามาด้วยดีตลอด สัมปทานก็ไม่มีใครโกง มีแก๊สธรรมชาติช่วยรองรับความเจริญ แม้จะไม่สมบูรณ์ทั้งหมดแต่ประเทศก็เดินหน้าไปได้ ผมกำลังเปิดประเด็น และพูดแทนคนไทยว่า กำลังมียักษ์ตัวใหญ่ขึ้นมาแล้วคุมอำนาจโดยใครก็ไม่รู้ "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว และขยายความถึงยักษ์ตัวใหม่ที่มาควบคุมบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ หากฝ่ายการเมืองสามารถเข้าควบคุมบรรษัทน้ำมันแห่งชาตินี้ได้ เชื่อว่า มีวิธี 108 วิธี และทำอะไรไม่ชอบมาพากลใครจะแก้ไขปัญหาได้
(อ่านจดหมายเปิดผนึกฉบับเต็ม ที่นี่ : ผู้มีอำนาจเหนือครม.ดันตั้ง "บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ" ทำประเทศถอยหลังครึ่งศตวรรษ)